บิ๊กซีชักธงรบปล่อยมินิบิ๊กซีลงตลาด ชูราคาถูกกว่า 20% พร้อมจับชุมชน ดึงคอนเซ็ปต์หรูจากฝรั่งเศส ทดลองก่อน 1 ปีก่อนประเมินผลบุกต่อ
นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการเปิดตัวมินิบิ๊กซีซึ่งเป็นรูปโฉมใหม่ของบิ๊กซีว่า โฉมใหม่นี้ถือเป็นการย่างก้าวแรกที่บิ๊กซีได้พัฒนาขึ้นมาในรูปแบบมินิซูเปอร์มาร์เก็ตผสมผสานกับคอนวีเนี่ยนสโตร์ในขนาดที่มีพื้นเล็กเพียง 200 ตารางเมตร ภายใต้ชื่อ "มินิบิ๊กซี" ออกสู่ตลาด ซึ่งได้เปิดสาขาแรกไปแล้วเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ที่ปากซอยอุดมสุข ถนนสุขุมวิท
รูปแบบของมินิบิ๊กซีนี้มีแผนเจาะตามทำเลที่เป็นกลุ่มชุมชนที่มีผู้คนพักอาศัยหนาแน่น เพราะกลุ่มคนในกลุ่มนี้มีการเรียนรู้ได้เร็วที่สุด และอีกหนึ่งสาเหตุที่เลือกเปิดมินิบิ๊กซีขึ้นนั้น เพราะในปัจจุบันนั้นพฤติกรรมของผู้บริโภคนิยมความสะดวกสบายมากขึ้น จึงทำให้เกิดความคิดที่จะเปิดร้านแบบมีความสะดวกในครั้งนี้เพื่อให้กลุ่มลูกค้าได้มีการจับจ่ายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
สำหรับรายการสินค้าที่วางจำหน่ายทั้งหมดมี 2,600 เอสเคยู แบ่งออกเป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ 70% สินค้าแบรนด์เนม 30% และยังแบ่งเป็นสัดส่วนอาหาร 70% และของใช้ 30%
“กลุ่มธุรกิจที่เป็นร้านสะดวกซื้อมีแนวโน้มเติบโตได้ง่ายกว่า การลงทุนก็ไม่สูงมากนัก อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มนี้ยังถือว่ากว้างอยู่และยังสามารถขยายกลุ่มเป้าหมายได้อีกมาก ในส่วนของงบการลงทุนในรูปแบบมินิไซส์นั้นประมาณ 10 ล้านบาท แต่การเปิดซูเปอร์ที่มีขนาดเล็กในครั้งนี้นั้นยังถือว่าเป็นการทดลองตลาดต้องรอดูการขยายผลในระยะเวลาประมาณ 1 ปี ว่าเป็นอย่างไรก่อนที่จะมีการขยายสาขาเพิ่มอีกหรือไม่”
ทั้งนี้บิ๊กซีนำคอนเซ็ปต์รูปแบบการดำเนินงานการบริหารและการจัดการมาจากประเทศฝรั่งเศส ที่ไม่เน้นพื้นที่ขายแต่จะเน้นการบริการมากกว่า ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียงไม่นานกลุ่มผู้บริโภคตอบรับดีมาก
“สินค้าที่วางขายนั้นส่วนใหญ่มีราคาถูกกว่าสินค้าที่อยู่ในพวกมินิซูเปอร์เดียวกันถึง 20% สืบเนื่องมาจากของส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ที่ทำเองสามารถปรับราคาได้เข้ากับสถานการณ์มากกว่า สินค้าที่วางขายตามร้านซูเปอร์สะดวกซื้ออื่นๆเพราะสินค้าในประเภทนั้นๆจะมีราคาขายตามป้ายในแต่และสินค้าซึ่งมองว่าในจุดนี้จะสามารถเป็นจุดแข็งวอย่างหนึ่งของเรา” นางสาวจริยากล่าว
อย่างไรก็ตามแม้ว่าในช่วงเศรษฐกิจขาลงจะส่งผลต่อกลุ่มธุรกิจหลายๆอย่างบ้างก็ตาม บริษัทฯก็ให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการลงทุนทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์เซ็นเตอร์ ร้านลีดเดอร์ไพรซ์ และมินิบิ๊กซี โดยวางงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการลงทุนเพื่อเพิ่มสาขาและปรับปรุงในแต่ละสาขาที่มีอยู่ ล่าสุดบิ๊กซีได้เปิดซูเปอร์เซ็นเตอร์ 2 สาขาใหม่ ที่แพร่และราชบุรี ในช่วงครึ่งปีแรก โดยที่ผ่านมาในส่วนของแผนการขยายสาขานั้นบริษัทฯตั้งเป้าในขยายสาขาให้ได้อย่างน้อย 4 สาขาต่อปี มาโดยตลอด ใช้งบเปิดสาขาแต่ละสาขา 500 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯจะเร่งสร้างกิจกรรมและทำตลาดเพื่อสร้างภาพลักษณ์ในแต่ละแบรนด์ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการเปิดตัวมินิบิ๊กซีซึ่งเป็นรูปโฉมใหม่ของบิ๊กซีว่า โฉมใหม่นี้ถือเป็นการย่างก้าวแรกที่บิ๊กซีได้พัฒนาขึ้นมาในรูปแบบมินิซูเปอร์มาร์เก็ตผสมผสานกับคอนวีเนี่ยนสโตร์ในขนาดที่มีพื้นเล็กเพียง 200 ตารางเมตร ภายใต้ชื่อ "มินิบิ๊กซี" ออกสู่ตลาด ซึ่งได้เปิดสาขาแรกไปแล้วเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ที่ปากซอยอุดมสุข ถนนสุขุมวิท
รูปแบบของมินิบิ๊กซีนี้มีแผนเจาะตามทำเลที่เป็นกลุ่มชุมชนที่มีผู้คนพักอาศัยหนาแน่น เพราะกลุ่มคนในกลุ่มนี้มีการเรียนรู้ได้เร็วที่สุด และอีกหนึ่งสาเหตุที่เลือกเปิดมินิบิ๊กซีขึ้นนั้น เพราะในปัจจุบันนั้นพฤติกรรมของผู้บริโภคนิยมความสะดวกสบายมากขึ้น จึงทำให้เกิดความคิดที่จะเปิดร้านแบบมีความสะดวกในครั้งนี้เพื่อให้กลุ่มลูกค้าได้มีการจับจ่ายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
สำหรับรายการสินค้าที่วางจำหน่ายทั้งหมดมี 2,600 เอสเคยู แบ่งออกเป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ 70% สินค้าแบรนด์เนม 30% และยังแบ่งเป็นสัดส่วนอาหาร 70% และของใช้ 30%
“กลุ่มธุรกิจที่เป็นร้านสะดวกซื้อมีแนวโน้มเติบโตได้ง่ายกว่า การลงทุนก็ไม่สูงมากนัก อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มนี้ยังถือว่ากว้างอยู่และยังสามารถขยายกลุ่มเป้าหมายได้อีกมาก ในส่วนของงบการลงทุนในรูปแบบมินิไซส์นั้นประมาณ 10 ล้านบาท แต่การเปิดซูเปอร์ที่มีขนาดเล็กในครั้งนี้นั้นยังถือว่าเป็นการทดลองตลาดต้องรอดูการขยายผลในระยะเวลาประมาณ 1 ปี ว่าเป็นอย่างไรก่อนที่จะมีการขยายสาขาเพิ่มอีกหรือไม่”
ทั้งนี้บิ๊กซีนำคอนเซ็ปต์รูปแบบการดำเนินงานการบริหารและการจัดการมาจากประเทศฝรั่งเศส ที่ไม่เน้นพื้นที่ขายแต่จะเน้นการบริการมากกว่า ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียงไม่นานกลุ่มผู้บริโภคตอบรับดีมาก
“สินค้าที่วางขายนั้นส่วนใหญ่มีราคาถูกกว่าสินค้าที่อยู่ในพวกมินิซูเปอร์เดียวกันถึง 20% สืบเนื่องมาจากของส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ที่ทำเองสามารถปรับราคาได้เข้ากับสถานการณ์มากกว่า สินค้าที่วางขายตามร้านซูเปอร์สะดวกซื้ออื่นๆเพราะสินค้าในประเภทนั้นๆจะมีราคาขายตามป้ายในแต่และสินค้าซึ่งมองว่าในจุดนี้จะสามารถเป็นจุดแข็งวอย่างหนึ่งของเรา” นางสาวจริยากล่าว
อย่างไรก็ตามแม้ว่าในช่วงเศรษฐกิจขาลงจะส่งผลต่อกลุ่มธุรกิจหลายๆอย่างบ้างก็ตาม บริษัทฯก็ให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการลงทุนทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์เซ็นเตอร์ ร้านลีดเดอร์ไพรซ์ และมินิบิ๊กซี โดยวางงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการลงทุนเพื่อเพิ่มสาขาและปรับปรุงในแต่ละสาขาที่มีอยู่ ล่าสุดบิ๊กซีได้เปิดซูเปอร์เซ็นเตอร์ 2 สาขาใหม่ ที่แพร่และราชบุรี ในช่วงครึ่งปีแรก โดยที่ผ่านมาในส่วนของแผนการขยายสาขานั้นบริษัทฯตั้งเป้าในขยายสาขาให้ได้อย่างน้อย 4 สาขาต่อปี มาโดยตลอด ใช้งบเปิดสาขาแต่ละสาขา 500 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯจะเร่งสร้างกิจกรรมและทำตลาดเพื่อสร้างภาพลักษณ์ในแต่ละแบรนด์ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น