การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เผยโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ ควรจะอยู่บริเวณรอบอ่าวไทย เพื่อความสะดวกในการนำเข้าถ่านหิน ที่จะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำลง และกระจายเชื้อเพลิง ระบุค่าเอฟทีงวดสิ้นปีจะลดลง หลังแหล่งก๊าซภูฮ่อมเข้าระบบ ในขณะที่โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานได้ผลลดการใช้เชื้อเพลิงไปแล้ว 1,800 ล้านบาท
นายคำผุย จีราระรื่นศักดิ์ รองผู้ว่าการอาวุโสกลุ่มระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานมอบรางวัลแก่ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการกิจกรรมอาสาสมัครนักประหยัด (ไฟ) ปี 2 ร่วมใจประหยัดไฟ ช่วยไทยประหยัดพลังงาน ซึ่งมีผู้สมัครเข้ามาเป็นแนวร่วมอาสาสมัคร 200 ครัวเรือน ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา และปรากฏว่าผู้ชนะเลิศสามารถประหยัดไฟฟ้าลดลงถึงร้อยละ 98.59 ได้รับรางวัลเงิน 30,000 บาท
นายคำผุย กล่าวว่า ในขณะนี้ประชาชนได้ให้ความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้าตามโครงการรณรงค์ประหยัดไฟฟ้า ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือพีกในปีนี้ลดลงจากประมาณการเดิมที่จะขยายตัวร้อยละ 5 เหลือเพียงร้อยละ 2.3 เท่านั้น และผลตั้งแต่เริ่มรณรงค์ หรือคิกออฟ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2548 จนถึงขณะนี้ลดการใช้เชื้อเพลิงไปแล้วถึง 1,800 ล้านบาท หรือ 520 เมกะวัตต์ การประหยัดไฟฟ้าก็ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพื่อผลิตไฟฟ้าลดลง และยังส่งผลทำให้สำรองไฟฟ้าของประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะมีสำรองลดเหลือเพียงร้อยละ 13-14 ก็เพิ่มเป็นร้อยละ 16-17
ส่วนค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือเอฟทีงวดตั้งแต่ตุลาคม-มกราคม นายคำผุย เชื่อมั่นว่าจะลดลงเพราะนอกจากในช่วงดังกล่าวซึ่งเป็นฤดูหนาว ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะลดลงแล้ว ยังมีแหล่งก๊าซธรรมชาติภูฮ่อม จังหวัดอุดรธานี ส่งเข้าระบบมาผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าขอนแก่นเต็มกำลังผลิต 700 เมกะวัตต์ ทดแทนการใช้น้ำมัน จึงทำให้ต้นทุนเอฟทีต่ำลง
นายคำผุย ยังกล่าวถึงการประกาศประกวดโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (ไอพีพี) รอบใหม่ว่า คาดว่าพื้นที่โรงไฟฟ้าใหม่ยังอยู่ในพื้นที่รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าขยายตัวสูงสุด ในขณะที่ภาคอีสานนั้นโรงไฟฟ้าใหม่ก็คงจะพึ่งพาโรงไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาวเป็นหลัก โดยตามแผนงานนั้นกระทรวงพลังงานกำหนดว่าให้เพิ่มการใช้ถ่านหินจากร้อยละ 15 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เป็นร้อยละ 20-25 ซึ่งพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินก็คงจะเป็นพื้นที่ชายทะเลติดอ่าวไทยเหมือนเดิม เพราะสะดวกในการนำเข้าถ่านหินสะอาดมาผลิตไฟฟ้า ซึ่งในส่วนของ กฟผ.นั้น ได้ศึกษาที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่ และพื้นที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในขณะที่โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ก็มีพื้นที่จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มอีก 1 โรง กำลังผลิต 700 เมกะวัตต์ ส่วนพื้นที่อื่นๆ ก็คาดว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินน่าจะอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ
“เทคโนโลยีโรงไฟฟ้าถ่านหินในขณะนี้สะอาดไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษ คาดว่าประชาชนจะเข้าใจและยอมรับมากขึ้น จะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิงจากที่ขณะนี้พึ่งพาก๊าซธรรมชาติถึงร้อยละ 75 และที่สำคัญต้นทุนต่ำ ทำให้ค่าไฟฟ้าไม่ปรับขึ้นมากในอนาคต” นายคำผุย กล่าว
นายคำผุย จีราระรื่นศักดิ์ รองผู้ว่าการอาวุโสกลุ่มระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธานมอบรางวัลแก่ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการกิจกรรมอาสาสมัครนักประหยัด (ไฟ) ปี 2 ร่วมใจประหยัดไฟ ช่วยไทยประหยัดพลังงาน ซึ่งมีผู้สมัครเข้ามาเป็นแนวร่วมอาสาสมัคร 200 ครัวเรือน ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา และปรากฏว่าผู้ชนะเลิศสามารถประหยัดไฟฟ้าลดลงถึงร้อยละ 98.59 ได้รับรางวัลเงิน 30,000 บาท
นายคำผุย กล่าวว่า ในขณะนี้ประชาชนได้ให้ความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้าตามโครงการรณรงค์ประหยัดไฟฟ้า ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือพีกในปีนี้ลดลงจากประมาณการเดิมที่จะขยายตัวร้อยละ 5 เหลือเพียงร้อยละ 2.3 เท่านั้น และผลตั้งแต่เริ่มรณรงค์ หรือคิกออฟ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2548 จนถึงขณะนี้ลดการใช้เชื้อเพลิงไปแล้วถึง 1,800 ล้านบาท หรือ 520 เมกะวัตต์ การประหยัดไฟฟ้าก็ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพื่อผลิตไฟฟ้าลดลง และยังส่งผลทำให้สำรองไฟฟ้าของประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะมีสำรองลดเหลือเพียงร้อยละ 13-14 ก็เพิ่มเป็นร้อยละ 16-17
ส่วนค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือเอฟทีงวดตั้งแต่ตุลาคม-มกราคม นายคำผุย เชื่อมั่นว่าจะลดลงเพราะนอกจากในช่วงดังกล่าวซึ่งเป็นฤดูหนาว ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะลดลงแล้ว ยังมีแหล่งก๊าซธรรมชาติภูฮ่อม จังหวัดอุดรธานี ส่งเข้าระบบมาผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าขอนแก่นเต็มกำลังผลิต 700 เมกะวัตต์ ทดแทนการใช้น้ำมัน จึงทำให้ต้นทุนเอฟทีต่ำลง
นายคำผุย ยังกล่าวถึงการประกาศประกวดโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (ไอพีพี) รอบใหม่ว่า คาดว่าพื้นที่โรงไฟฟ้าใหม่ยังอยู่ในพื้นที่รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าขยายตัวสูงสุด ในขณะที่ภาคอีสานนั้นโรงไฟฟ้าใหม่ก็คงจะพึ่งพาโรงไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาวเป็นหลัก โดยตามแผนงานนั้นกระทรวงพลังงานกำหนดว่าให้เพิ่มการใช้ถ่านหินจากร้อยละ 15 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เป็นร้อยละ 20-25 ซึ่งพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินก็คงจะเป็นพื้นที่ชายทะเลติดอ่าวไทยเหมือนเดิม เพราะสะดวกในการนำเข้าถ่านหินสะอาดมาผลิตไฟฟ้า ซึ่งในส่วนของ กฟผ.นั้น ได้ศึกษาที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่ และพื้นที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในขณะที่โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ก็มีพื้นที่จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มอีก 1 โรง กำลังผลิต 700 เมกะวัตต์ ส่วนพื้นที่อื่นๆ ก็คาดว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินน่าจะอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ
“เทคโนโลยีโรงไฟฟ้าถ่านหินในขณะนี้สะอาดไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษ คาดว่าประชาชนจะเข้าใจและยอมรับมากขึ้น จะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิงจากที่ขณะนี้พึ่งพาก๊าซธรรมชาติถึงร้อยละ 75 และที่สำคัญต้นทุนต่ำ ทำให้ค่าไฟฟ้าไม่ปรับขึ้นมากในอนาคต” นายคำผุย กล่าว