กระทรวงพลังงานเร่งการใช้เอ็นจีวีลดผลกระทบน้ำมันแพง ใช้งบประมาณประชาสัมพันธ์ 25 ล้านบาท พร้อมเล็งเพิ่มค่าการตลาดจาก 1.40-1.70 บาท/ลิตร เป็น 2 บาท/ลิตร ขณะที่เตรียมใช้กลไกเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าช่วยส่งเสริมไบโอดีเซล และแก๊สโซฮอล์ เพิ่มขึ้น

นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารพลังงาน (กบง.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 25 ล้านบาท ประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมการใช้เอ็นจีวีให้ประชาชนมั่นใจในการใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้น ลดปัญหาความวิตก ความเข้าใจผิด ว่าใช้แล้วจะไม่ปลอดภัย ขณะเดียวกัน ได้เร่งให้ทุกฝ่ายเดินหน้าขยายการใช้เอ็นจีวี ทั้งเรื่องจำนวนรถและการเพิ่มสถานีบริการเอ็นจีวี ให้เป็นไปตามเป้าหมาย 200 แห่ง ในปลายปี 2549 โดยแนวทางที่จะดำเนินการล่าสุด คือ จะเพิ่มค่าการตลาดเอ็นจีวี จากอัตราประมาณ 1.40-1.70 บาท/กิโลกรัม เป็น 2 บาท/กิโลกรัม เพื่อจูงใจให้เจ้าของสถานีบริการน้ำมันรายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ ปตท. หันมาให้บริการเอ็นจีวีเพิ่มขึ้น โดยเม็ดเงินของการเพิ่มค่าการตลาดจะมาจากเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
“ต้องเร่งส่งเสริมเอ็นจีวีให้ได้ตามแผน หากมีสถานีบริการเอ็นจีวีเพิ่มขึ้น จะสร้างความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้รถยนต์ และจะจูงใจให้เกิดการใช้เอ็นจีวีได้แพร่หลาย จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้มหาศาล ขณะเดียวกัน จะมีการลดการจัดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของไบโอดีเซล-แก๊สโซฮอล์ เพื่ออุดหนุนให้เกิดการใช้ต่อเนื่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว
ด้านนายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ในเร็ว ๆ นี้ สนพ. จะประกาศลดการเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ จาก 54 สตางค์ เหลือ 21 สตางค์/ลิตร เพื่อเป็นการลดภาระของผู้ค้าน้ำมันที่มีต้นทุนสูงขึ้นจากราคาเอทานอลที่เพิ่มขึ้นจาก 23 บาท เป็น 25.30 บาท/ลิตร และเป็นการรักษาส่วนต่างระหว่างน้ำมันเบนซิน 95 และแก๊สโซฮอล์ ให้อยู่ในอัตรา 1.50 บาท/ลิตร ต่อไป และหากในอนาคต เอทานอลมีราคาสูงขึ้นก็จะมีการลดเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้เหลือในระดับศูนย์ได้ แต่คาดว่าราคาเอทานอลไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้แล้ว เพราะในขณะนี้กำลังเร่งโรงงานผลิตเอทานอลจากแป้งมันสำปะหลังที่มีราคาต่ำกว่าโมลาสให้เกิดเร็วขึ้น
นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารพลังงาน (กบง.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 25 ล้านบาท ประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมการใช้เอ็นจีวีให้ประชาชนมั่นใจในการใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้น ลดปัญหาความวิตก ความเข้าใจผิด ว่าใช้แล้วจะไม่ปลอดภัย ขณะเดียวกัน ได้เร่งให้ทุกฝ่ายเดินหน้าขยายการใช้เอ็นจีวี ทั้งเรื่องจำนวนรถและการเพิ่มสถานีบริการเอ็นจีวี ให้เป็นไปตามเป้าหมาย 200 แห่ง ในปลายปี 2549 โดยแนวทางที่จะดำเนินการล่าสุด คือ จะเพิ่มค่าการตลาดเอ็นจีวี จากอัตราประมาณ 1.40-1.70 บาท/กิโลกรัม เป็น 2 บาท/กิโลกรัม เพื่อจูงใจให้เจ้าของสถานีบริการน้ำมันรายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ ปตท. หันมาให้บริการเอ็นจีวีเพิ่มขึ้น โดยเม็ดเงินของการเพิ่มค่าการตลาดจะมาจากเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
“ต้องเร่งส่งเสริมเอ็นจีวีให้ได้ตามแผน หากมีสถานีบริการเอ็นจีวีเพิ่มขึ้น จะสร้างความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้รถยนต์ และจะจูงใจให้เกิดการใช้เอ็นจีวีได้แพร่หลาย จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้มหาศาล ขณะเดียวกัน จะมีการลดการจัดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของไบโอดีเซล-แก๊สโซฮอล์ เพื่ออุดหนุนให้เกิดการใช้ต่อเนื่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว
ด้านนายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ในเร็ว ๆ นี้ สนพ. จะประกาศลดการเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ จาก 54 สตางค์ เหลือ 21 สตางค์/ลิตร เพื่อเป็นการลดภาระของผู้ค้าน้ำมันที่มีต้นทุนสูงขึ้นจากราคาเอทานอลที่เพิ่มขึ้นจาก 23 บาท เป็น 25.30 บาท/ลิตร และเป็นการรักษาส่วนต่างระหว่างน้ำมันเบนซิน 95 และแก๊สโซฮอล์ ให้อยู่ในอัตรา 1.50 บาท/ลิตร ต่อไป และหากในอนาคต เอทานอลมีราคาสูงขึ้นก็จะมีการลดเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้เหลือในระดับศูนย์ได้ แต่คาดว่าราคาเอทานอลไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้แล้ว เพราะในขณะนี้กำลังเร่งโรงงานผลิตเอทานอลจากแป้งมันสำปะหลังที่มีราคาต่ำกว่าโมลาสให้เกิดเร็วขึ้น