อดีตรองนายกฯ เตือนประเทศไทยเตรียมรับมือภาวะเศรษฐกิจขาลงของสหรัฐ ย้ำราคาน้ำมันแพงต่อเนื่อง เกิดจากความต้องการบริโภคจริง ด้านนักวิชาการเสนอหาดัชนีชี้วัดตัวเลขเศรษฐกิจใหม่แทนจีดีพี ซึ่งไม่สะท้อนความเป็นจริง
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการเสวนา ยุทธศาสตร์ประเทศไทยในกระแสโลก ซึ่งจัดโดยโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทย ตกอยู่ในความผันผวนตามกระแสเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะความผันผวนในภาคการเงินที่มีการไหลเข้าออกอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน อินเดีย และรัสเซีย ทำให้มีผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ทำให้เป็นห่วงว่า ประเทศไทยจะรับมือได้เพียงใด หากเศรษฐกิจของสหรัฐตกอยู่ในภาวะขาลง และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากความต้องการบริโภคที่แท้จริง ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 60 ขณะที่ผลจากการก่อการร้ายแค่ร้อยละ 30 และในขณะที่ผลจากการเก็งกำไรน้ำมันมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 10 เท่านั้น
ด้านนายวรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต เสนอให้นักวิชาการไทยคิดหาวิธีคำนวณการเติบโตของเศรษฐกิจในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงของไทยมากที่สุด เพราะการวัดตัวเลขเศรษฐกิจด้วยสูตรจีดีพี ไม่สามารถสะท้อนข้อเท็จจริงได้ทั้งหมด เช่น จีดีพีของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเติบโตสูง แต่คนในพื้นที่ไม่ได้อยู่ดีกินดีเท่ากับตัวเลขจีดีพี สะท้อนว่ายังมีข้อบกพร่อง แต่ขณะนี้ยังไม่มีเครื่องมือที่ดีกว่านี้ และเห็นว่าประเทศไทยต้องเน้นการพัฒนาบุคลากร เพราะจากข้อมูลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียนย้อนหลังหลายปีพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนที่เกินร้อยละ 50 มีเพียงวิชาปฏิบัติการด้านดนตรีเท่านั้น ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ ฟิสิกส์ เคมี ล้วนอยู่ในระดับต่ำทั้งสิ้น
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประธานกรรมการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม เสนอว่า ประเทศไทยควรหันกลับมาใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศ และไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาเพื่อแข่งขันทางการค้า เพราะเชื่อว่าความสำเร็จดังกล่าว ไม่ทำให้สังคมไทยมีความสุข พร้อมเสนอให้จัดทำดัชนีชี้วัดความสุขของประชาชนแทนการใช้จีดีพี เช่นเดียวกับที่ใช้อยู่ในประเทศภูฏาน
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการเสวนา ยุทธศาสตร์ประเทศไทยในกระแสโลก ซึ่งจัดโดยโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทย ตกอยู่ในความผันผวนตามกระแสเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะความผันผวนในภาคการเงินที่มีการไหลเข้าออกอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน อินเดีย และรัสเซีย ทำให้มีผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ทำให้เป็นห่วงว่า ประเทศไทยจะรับมือได้เพียงใด หากเศรษฐกิจของสหรัฐตกอยู่ในภาวะขาลง และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากความต้องการบริโภคที่แท้จริง ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 60 ขณะที่ผลจากการก่อการร้ายแค่ร้อยละ 30 และในขณะที่ผลจากการเก็งกำไรน้ำมันมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 10 เท่านั้น
ด้านนายวรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต เสนอให้นักวิชาการไทยคิดหาวิธีคำนวณการเติบโตของเศรษฐกิจในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงของไทยมากที่สุด เพราะการวัดตัวเลขเศรษฐกิจด้วยสูตรจีดีพี ไม่สามารถสะท้อนข้อเท็จจริงได้ทั้งหมด เช่น จีดีพีของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเติบโตสูง แต่คนในพื้นที่ไม่ได้อยู่ดีกินดีเท่ากับตัวเลขจีดีพี สะท้อนว่ายังมีข้อบกพร่อง แต่ขณะนี้ยังไม่มีเครื่องมือที่ดีกว่านี้ และเห็นว่าประเทศไทยต้องเน้นการพัฒนาบุคลากร เพราะจากข้อมูลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียนย้อนหลังหลายปีพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนที่เกินร้อยละ 50 มีเพียงวิชาปฏิบัติการด้านดนตรีเท่านั้น ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ ฟิสิกส์ เคมี ล้วนอยู่ในระดับต่ำทั้งสิ้น
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประธานกรรมการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม เสนอว่า ประเทศไทยควรหันกลับมาใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศ และไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาเพื่อแข่งขันทางการค้า เพราะเชื่อว่าความสำเร็จดังกล่าว ไม่ทำให้สังคมไทยมีความสุข พร้อมเสนอให้จัดทำดัชนีชี้วัดความสุขของประชาชนแทนการใช้จีดีพี เช่นเดียวกับที่ใช้อยู่ในประเทศภูฏาน