ยาหม่องตราถ้วยทองประกาศศึกรบสงครามยาหม่อง ภายใต้ผู้นำเจนเนอเรชั่นรุ่น3 เตรียมควักกระเป๋า 200 ล้านบาทโยกฐานการผลิตเดิม เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5 เท่าตัว ปูทางรองรับการส่งออก พร้อมผุดตัวสินค้าใหม่อย่างน้อยอีก 4 รายการใน2 ปี เน้นสร้างฐานลูกค้าเพิ่ม ล่าสุดอัดเม็ดเงินกว่า 100 ล้านบาท ส่งภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ตอกย้ำแบรนด์ มั่นใจสิ้นปีครองแชมป์ตลาดไม่ต่ำกว่า 60 % จากมูลค่าตลาดยาหม่องบาล์มกว่า 1,000 ล้านบาท
นายยศพร ลีลารัศมี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ถ้วยทองโอสถ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายยาหม่อง ภายใต้แบรนด์ “ถ้วยทอง” เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเป็นเจนเนอเรชั่นรุ่นที่ 3 ที่เข้ามาบริหารงานในครั้งนี้มองว่า จากเดิมภาพลักษณ์ของยาหม่องตราถ้วยทองนั้น จะเปรียบเสมือนยาที่ต้องมีไว้ในบ้าน และเห็นกันจนชินตาตั้งแต่เด็กจนโต ส่งผลให้ปัจจุบันผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ดังนั้นการที่ตนเข้ามาบริหารครั้งนี้ จึงต้องการที่จะปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้เกิดขึ้น โดยต้องการที่จะให้ยาหม่องตราถ้วยทองเป็นสินค้าหนึ่งที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ
โดยแผนการดำเนินงานในเบื้องต้นนั้น บริษัทฯได้เตรียมงบประมาณอย่างน้อย 200 ล้านบาท สำหรับการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่บนพื้นกว่า 6,000 ตารางเมตร หรือกว่า 25 ไร่ ในจังหวัดนนทบุรี และการซื้อเครื่องจักรใหม่ๆ เพื่อย้ายฐานการผลิตที่มีอยู่เดิมทั้งหมดมาไว้ที่โรงงานแห่งใหม่นี้ ซึ่งจะสามารถรองรับกำลังการผลิตมากกว่าที่เดิมถึง 5 เท่าตัว
“การสร้างโรงงานแห่งใหม่นี้ ก็เพื่อเป็นการรองรับกำลังการผลิตในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทจะมีการทำตลาดอย่างจริงจังทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มยาหม่องอย่างน้อย 4 รายการ รองรับทุกกลุ่มผู้บริโภคตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และยังมีการเตรียมสร้างแบรนด์สินค้าในกลุ่มยาโอทีซีใหม่อีกอย่างน้อย 4 ตำรับยาที่มีชื่อแบรนด์อยู่แล้วจะมีการสร้างการจดจำเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มีอยู่กว่า 25 ตำรับยาในขณะนี้ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ให้บริษัทฯอีกอย่างน้อย 20-30 % เป็นอย่างน้อย”
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากการส่งออกถึง 50 % ในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี จากการที่โรงงานแห่งใหม่สามารถดำเนินงานได้เต็มกำลัง ซึ่งจากเดิมในปัจจุบันบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกยังต่างประเทศเพียง 5 % เท่านั้น จากประเทศทั่วโลกประมาณ 10 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ เนเธอแลนด์ เชค สวีเดน ประเทศเพื่อนบ้านอีก 7- 8 ประเทศ และประเทศในแถบเซาส์แอฟริกา
“การที่บริษัทฯตั้งเป้ารายได้จากการส่งออกถึง 50 % เนื่องจากพบว่าตลาดภายในประเทศเกิดการอิ่มตัว และมีผู้ดำเนินธุรกิจนี้หลายราย ทั้งในรูปแบบธุรกิจเต็มตัว และลักษณะโอทอป ที่จำหน่ายในแต่พื้นที่ แต่สำหรับตลาดต่างประเทศกลับพบว่า มีความต้องการสูง โดยเฉพาะตลาดในแถบยุโรป ซึ่งยาหม่องถือเป็นอีกสินค้าหนึ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์เแพาะตัวและภูมิปัญญาที่ลูกค้าในประเทศยุโรปให้ความสนใจ”
นายยศพร กล่าวต่อว่า ในปีหน้าคาดว่าสัดส่วนการส่งออกจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประมาณ 10% โดยบริษัทฯจะมีการส่งออกไปในกลุ่มประเทศแถบยุโรปหรืออียูมากขึ้น ส่วนประเทศเพื่อนบ้านนั้น ในขณะนี้มองว่าประเทศอินโดนีเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากมีผู้นิยมใช้ยาหม่องพอสมควร
ส่วนทางด้านแผนการดำเนินงานในปีนี้นั้น ล่าสุดบริษัทฯได้จัดงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบประมาณที่สูงที่สุดตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์กระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการจดจำและเป็นตัวเลือกแรก ในการที่จะซื้อยาหม่องมาใช้ จากการจัดทำภาพยนตร์โฆษณาเรื่องใหม่ ภายใต้แนวคิด “Always" และการประชาสัมพันธ์ในด้านอื่นๆ
ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทฯมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจสินค้าอยู่ 2 กลุ่ม คือ ยาหม่องตราถ้วยทอง 80 % และ2.ยาโอทีซี (Over The Counter) 20% ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ยาหม่องในปัจจุบันมีอยู่ 5 ขนาด โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นตั้งแต่ 4บาท – 30 บาท มั่นใจว่าสิ้นปีบริษัทฯจะยังคงมีแชร์ในตลาดอย่างน้อย 60 % หรือไม่ต่ำกว่ารายได้จากปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวมหลายร้อยล้านบาท
อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้มีการจ้างให้ทางเอซี นีลซัน ทำการสำรวจตลาดยาหม่องให้ ปรากฎว่า กว่า 60 % ของลูกค้าที่เลือกซื้อยาหม่องจะเลือกตราถ้วยทอง รองลงมาคือ ลิงถือลูกท้อ ในขณะที่ตลาดยาหม่องในเซกเมนต์บาล์มนั้น คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
นายยศพร ลีลารัศมี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ถ้วยทองโอสถ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายยาหม่อง ภายใต้แบรนด์ “ถ้วยทอง” เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเป็นเจนเนอเรชั่นรุ่นที่ 3 ที่เข้ามาบริหารงานในครั้งนี้มองว่า จากเดิมภาพลักษณ์ของยาหม่องตราถ้วยทองนั้น จะเปรียบเสมือนยาที่ต้องมีไว้ในบ้าน และเห็นกันจนชินตาตั้งแต่เด็กจนโต ส่งผลให้ปัจจุบันผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ดังนั้นการที่ตนเข้ามาบริหารครั้งนี้ จึงต้องการที่จะปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้เกิดขึ้น โดยต้องการที่จะให้ยาหม่องตราถ้วยทองเป็นสินค้าหนึ่งที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ
โดยแผนการดำเนินงานในเบื้องต้นนั้น บริษัทฯได้เตรียมงบประมาณอย่างน้อย 200 ล้านบาท สำหรับการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่บนพื้นกว่า 6,000 ตารางเมตร หรือกว่า 25 ไร่ ในจังหวัดนนทบุรี และการซื้อเครื่องจักรใหม่ๆ เพื่อย้ายฐานการผลิตที่มีอยู่เดิมทั้งหมดมาไว้ที่โรงงานแห่งใหม่นี้ ซึ่งจะสามารถรองรับกำลังการผลิตมากกว่าที่เดิมถึง 5 เท่าตัว
“การสร้างโรงงานแห่งใหม่นี้ ก็เพื่อเป็นการรองรับกำลังการผลิตในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทจะมีการทำตลาดอย่างจริงจังทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มยาหม่องอย่างน้อย 4 รายการ รองรับทุกกลุ่มผู้บริโภคตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และยังมีการเตรียมสร้างแบรนด์สินค้าในกลุ่มยาโอทีซีใหม่อีกอย่างน้อย 4 ตำรับยาที่มีชื่อแบรนด์อยู่แล้วจะมีการสร้างการจดจำเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มีอยู่กว่า 25 ตำรับยาในขณะนี้ ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ให้บริษัทฯอีกอย่างน้อย 20-30 % เป็นอย่างน้อย”
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากการส่งออกถึง 50 % ในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี จากการที่โรงงานแห่งใหม่สามารถดำเนินงานได้เต็มกำลัง ซึ่งจากเดิมในปัจจุบันบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกยังต่างประเทศเพียง 5 % เท่านั้น จากประเทศทั่วโลกประมาณ 10 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ เนเธอแลนด์ เชค สวีเดน ประเทศเพื่อนบ้านอีก 7- 8 ประเทศ และประเทศในแถบเซาส์แอฟริกา
“การที่บริษัทฯตั้งเป้ารายได้จากการส่งออกถึง 50 % เนื่องจากพบว่าตลาดภายในประเทศเกิดการอิ่มตัว และมีผู้ดำเนินธุรกิจนี้หลายราย ทั้งในรูปแบบธุรกิจเต็มตัว และลักษณะโอทอป ที่จำหน่ายในแต่พื้นที่ แต่สำหรับตลาดต่างประเทศกลับพบว่า มีความต้องการสูง โดยเฉพาะตลาดในแถบยุโรป ซึ่งยาหม่องถือเป็นอีกสินค้าหนึ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์เแพาะตัวและภูมิปัญญาที่ลูกค้าในประเทศยุโรปให้ความสนใจ”
นายยศพร กล่าวต่อว่า ในปีหน้าคาดว่าสัดส่วนการส่งออกจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประมาณ 10% โดยบริษัทฯจะมีการส่งออกไปในกลุ่มประเทศแถบยุโรปหรืออียูมากขึ้น ส่วนประเทศเพื่อนบ้านนั้น ในขณะนี้มองว่าประเทศอินโดนีเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากมีผู้นิยมใช้ยาหม่องพอสมควร
ส่วนทางด้านแผนการดำเนินงานในปีนี้นั้น ล่าสุดบริษัทฯได้จัดงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นงบประมาณที่สูงที่สุดตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์กระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการจดจำและเป็นตัวเลือกแรก ในการที่จะซื้อยาหม่องมาใช้ จากการจัดทำภาพยนตร์โฆษณาเรื่องใหม่ ภายใต้แนวคิด “Always" และการประชาสัมพันธ์ในด้านอื่นๆ
ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทฯมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจสินค้าอยู่ 2 กลุ่ม คือ ยาหม่องตราถ้วยทอง 80 % และ2.ยาโอทีซี (Over The Counter) 20% ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ยาหม่องในปัจจุบันมีอยู่ 5 ขนาด โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นตั้งแต่ 4บาท – 30 บาท มั่นใจว่าสิ้นปีบริษัทฯจะยังคงมีแชร์ในตลาดอย่างน้อย 60 % หรือไม่ต่ำกว่ารายได้จากปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวมหลายร้อยล้านบาท
อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้มีการจ้างให้ทางเอซี นีลซัน ทำการสำรวจตลาดยาหม่องให้ ปรากฎว่า กว่า 60 % ของลูกค้าที่เลือกซื้อยาหม่องจะเลือกตราถ้วยทอง รองลงมาคือ ลิงถือลูกท้อ ในขณะที่ตลาดยาหม่องในเซกเมนต์บาล์มนั้น คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท