ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าปีนี้ธุรกิจประกันวินาศภัยจะเติบโตในอัตราชะลอลงเหลือร้อยละ 9-11 ในปีนี้จากปีที่ผ่านมาโตร้อยละ 12.04 โดยปีนี้จะมีจำนวนเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมประมาณ 96,600-98,700 ล้านบาท
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีก่อน จากปัจจัยหลักที่มีผลต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศที่ลดลง ประกอบกับปัญหายืดเยื้อทางการเมืองที่ส่งผลต่อการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ให้ล่าช้าออกไป ทำให้คาดว่าธุรกิจประกันวินาศภัยน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอลงเป็นประมาณร้อยละ 9-11 หรือคิดเป็นจำนวนเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมประมาณ 96,600-98,700 ล้านบาท เทียบกับที่ขยายตัวในอัตราร้อยละ 12.04 ในปี 2548 ด้วยจำนวนเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 88,833 ล้านบาท
ทั้งนี้ โดยผลสะท้อนที่เกิดขึ้นนี้จะมาจากภาคที่มีบทบาทในการประกันมูลค่าสูงอย่างตลาดรถยนต์ในประเทศที่แม้จะยังคงมีการขยายตัวของยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะเป็นอัตราเพิ่มที่ช้าลงเป็นประมาณร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับอัตราการขยายตัวร้อยละ 12.4 ในปีก่อน และปรับลดพฤติกรรมการซื้อรถยนต์นั่งราคาแพงลง
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ที่ยังคงมีส่วนเกื้อหนุนต่อในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นความตื่นตัวเรื่องการทำประกันเพื่อคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ รวมไปถึงช่องทางการตลาดผ่านร้านสะดวกซื้อที่ทำให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยพยุงระดับการเติบโตของการประกันภัยเบ็ดเตล็ดได้ระดับหนึ่ง
ขณะที่ผลตอบแทนจากการบริหารเงินลงทุน ซึ่งเป็นรายได้สำคัญอีกทางหนึ่งนอกเหนือจากรายได้จากธุรกิจหลักก็มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากโครงสร้างเงินลงทุนส่วนใหญ่ของธุรกิจประกันวินาศภัยเป็นเงินทุนระยะสั้นซึ่งมาจากการทำสัญญาประกันภัยปีต่อปี ทำให้มีความคล่องตัวในการโยกย้ายเงินลงทุน และน่าจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีก่อน จากปัจจัยหลักที่มีผลต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศที่ลดลง ประกอบกับปัญหายืดเยื้อทางการเมืองที่ส่งผลต่อการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ให้ล่าช้าออกไป ทำให้คาดว่าธุรกิจประกันวินาศภัยน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอลงเป็นประมาณร้อยละ 9-11 หรือคิดเป็นจำนวนเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมประมาณ 96,600-98,700 ล้านบาท เทียบกับที่ขยายตัวในอัตราร้อยละ 12.04 ในปี 2548 ด้วยจำนวนเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 88,833 ล้านบาท
ทั้งนี้ โดยผลสะท้อนที่เกิดขึ้นนี้จะมาจากภาคที่มีบทบาทในการประกันมูลค่าสูงอย่างตลาดรถยนต์ในประเทศที่แม้จะยังคงมีการขยายตัวของยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะเป็นอัตราเพิ่มที่ช้าลงเป็นประมาณร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับอัตราการขยายตัวร้อยละ 12.4 ในปีก่อน และปรับลดพฤติกรรมการซื้อรถยนต์นั่งราคาแพงลง
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ที่ยังคงมีส่วนเกื้อหนุนต่อในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นความตื่นตัวเรื่องการทำประกันเพื่อคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ รวมไปถึงช่องทางการตลาดผ่านร้านสะดวกซื้อที่ทำให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยพยุงระดับการเติบโตของการประกันภัยเบ็ดเตล็ดได้ระดับหนึ่ง
ขณะที่ผลตอบแทนจากการบริหารเงินลงทุน ซึ่งเป็นรายได้สำคัญอีกทางหนึ่งนอกเหนือจากรายได้จากธุรกิจหลักก็มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากโครงสร้างเงินลงทุนส่วนใหญ่ของธุรกิจประกันวินาศภัยเป็นเงินทุนระยะสั้นซึ่งมาจากการทำสัญญาประกันภัยปีต่อปี ทำให้มีความคล่องตัวในการโยกย้ายเงินลงทุน และน่าจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี