ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดใจลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) สาเหตุใหญ่เกิดจากสื่ออคติเกินไป และกดดันไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย ทำให้รัฐไม่กล้าเข้ามาแก้ปัญหาได้ถูกต้องตามแนวทางที่ควรจะเป็น พร้อมยืนยันไม่ได้เสนอให้ขึ้นราคาน้ำตาลทรายรวดเดียว 5 บาทต่อกิโลกรัม
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดใจหลังลาออกจากประธานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ซึ่งมีผลในวันนี้ (31 ธ.ค.) ว่า ไม่ได้รับการกดดันจากทางการเมือง แต่ที่ลาออกเพราะรู้สึกว่า สื่อ ค่อนข้างอคติจนเกินไป เป็นการกดดันรัฐบาลไม่ให้หาทางออกในการแก้ปัญหาอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายแบบถูกทาง โดยข้อเสนอการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย น่าจะเป็นช่องทางเดียวที่จะแก้ปัญหาอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายทั้งระบบ ทั้งกรณีหนี้ที่ติดอยู่กว่า 15,000 ล้านบาท เรื่องการลักลอบการส่งออกน้ำตาลทรายเพราะราคาตลาดโลกสูงกว่าราคาในประเทศมาก เรื่องต้นทุนของอุตสาหกรรมและชาวไร่อ้อยที่ปรับสูงขึ้นจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงแพงขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งอ้อยก็ได้รับผลกระทบหนักจากราคาน้ำมันดีเซลลอยตัว โดยต้นทุนการขนส่งสูงถึงร้อยละ 29 ของต้นทุนทั้งหมด แต่เสนอแนวคิดแก้ปัญหาไม่ได้ เมื่อพูดถึงการขึ้นราคา ทั้งที่ราคาน้ำตาลทรายไม่ได้ถูกปรับมานาน 20 ปีแล้ว ถูกมองเป็นปีศาจร้าย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำงานไปทำไม ลาออกไปแล้วเปิดทางให้คนใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานดีกว่า
“ทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญ หากพูดว่าขึ้นราคาน้ำตาลทรายแล้วเป็นมหันตบาป ห้ามทำก็เป็นการมองด้านเดียว โดยไม่ต้องคิดอย่างอื่น ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ผมกลายเป็นปีศาจร้าย ก็ไม่รู้จะทำงานไปทำไม แก้ปัญหาด้านไหนก็ติดไปหมด โดนบีบแบบแซนวิช ผมก็แค่ประธาน กอน. มีความเห็นแค่นี้เอง ที่สำคัญผมไม่ได้มีอำนาจขึ้นราคา หากมองไปในอดีตแล้วจะอ้างเพียงอย่างเดียวว่าคนไทยกินน้ำตาลแพงกว่าตลาดโลกตลอดแล้วมาช่วงนี้ราคาน้ำตาลตลาดโลกแพงกว่าเพียงไม่กี่ปี หากคิดแค่นี้แล้วไม่แก้ปัญหาก็คงทำอะไรไม่ได้ ควรจะนำประวัติศาสตร์มาแก้ไขในปัจจุบันมากกว่า ไม่ใช่ติดอยู่ในกรงขังเป็นนักโทษของประวัติศาสตร์” นายจักรมณฑ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า กอน. ได้เสนอปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน 5 บาทต่อกิโลกรัม นั้น ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันว่า ไม่ได้เสนอให้ขึ้นราคาน้ำตาลทราย 5 บาทต่อกิโลกรัม เพียงแต่ กอน.เห็นว่าราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานในปัจจุบัน 11 บาทต่อกิโลกรัม เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จึงเสนอกลับไปยังคณะกรรมการน้ำตาลทราย (กน.) น่าจะขยับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นบ้าง แต่ท้ายสุดแล้วราคาน้ำตาลทรายจะปรับขึ้นหรือไม่ เป็นดุลยพินิจของ 3 รัฐมนตรี คือ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ว่าจะเห็นชอบหรือไม่
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะลาออกจากการเป็นประธานคณะกรรมการศึกษาการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบหรือไม่ โดยต้องดูความเหมาะสมก่อน ซึ่งผลการศึกษาจะเสร็จภายในเดือนมกราคม ปีหน้า หากจะมีการเปิดเสรีอุตสาหกรรมดังกล่าว ทั้งเรื่องการนำเข้า การปรับราคาให้เป็นไปตามกลไกตลาดโลก หากจะปรับก็จะค่อยๆ ทำ ไม่ได้เปิดเสรีทันที และในฐานะที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ก็พบว่าการขึ้นราคาน้ำตาลทรายไม่ได้กระทบต่ออัตราเงินเฟ้อมากนัก มีเพียงผู้กระทบหนัก คือ อุตสาหกรรมน้ำหวาน แต่ในอดีต น้ำหวานเหล่านี้ก็ปรับขึ้นจาก 1.50 บาทต่อขวด อีก 7-8 บาทต่อขวดแล้ว ทั้งที่ราคาน้ำตาลทรายไม่ได้ปรับขึ้น
นายจักรมณฑ์ กล่าวด้วยว่า หากไม่เร่งแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมน้ำตาลทราย อาจทำให้อุตสาหกรรมนี้ค่อยๆ ตายไป จะเห็นได้จากชาวไร่อ้อยหันไปปลูกพืชอื่นที่ได้ราคา ได้รายได้ดีกว่า โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ซึ่งหากเกรงว่าประชาชนจะบริโภคน้ำตาลทรายแพง รัฐก็ไม่ควรผลักดันราคาอ้อยขั้นต้นที่สูงถึง 800 บาท/ตัน โดยต้นทุนขณะนี้เพิ่มขึ้นตลอด ยิ่งขณะนี้เท่าที่ทราบมีการแย่งอ้อยเข้าหีบ บางแห่งให้ราคาสูงถึง 900-800 บาท/ตัน
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดใจหลังลาออกจากประธานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ซึ่งมีผลในวันนี้ (31 ธ.ค.) ว่า ไม่ได้รับการกดดันจากทางการเมือง แต่ที่ลาออกเพราะรู้สึกว่า สื่อ ค่อนข้างอคติจนเกินไป เป็นการกดดันรัฐบาลไม่ให้หาทางออกในการแก้ปัญหาอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายแบบถูกทาง โดยข้อเสนอการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย น่าจะเป็นช่องทางเดียวที่จะแก้ปัญหาอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายทั้งระบบ ทั้งกรณีหนี้ที่ติดอยู่กว่า 15,000 ล้านบาท เรื่องการลักลอบการส่งออกน้ำตาลทรายเพราะราคาตลาดโลกสูงกว่าราคาในประเทศมาก เรื่องต้นทุนของอุตสาหกรรมและชาวไร่อ้อยที่ปรับสูงขึ้นจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงแพงขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งอ้อยก็ได้รับผลกระทบหนักจากราคาน้ำมันดีเซลลอยตัว โดยต้นทุนการขนส่งสูงถึงร้อยละ 29 ของต้นทุนทั้งหมด แต่เสนอแนวคิดแก้ปัญหาไม่ได้ เมื่อพูดถึงการขึ้นราคา ทั้งที่ราคาน้ำตาลทรายไม่ได้ถูกปรับมานาน 20 ปีแล้ว ถูกมองเป็นปีศาจร้าย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำงานไปทำไม ลาออกไปแล้วเปิดทางให้คนใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานดีกว่า
“ทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญ หากพูดว่าขึ้นราคาน้ำตาลทรายแล้วเป็นมหันตบาป ห้ามทำก็เป็นการมองด้านเดียว โดยไม่ต้องคิดอย่างอื่น ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ผมกลายเป็นปีศาจร้าย ก็ไม่รู้จะทำงานไปทำไม แก้ปัญหาด้านไหนก็ติดไปหมด โดนบีบแบบแซนวิช ผมก็แค่ประธาน กอน. มีความเห็นแค่นี้เอง ที่สำคัญผมไม่ได้มีอำนาจขึ้นราคา หากมองไปในอดีตแล้วจะอ้างเพียงอย่างเดียวว่าคนไทยกินน้ำตาลแพงกว่าตลาดโลกตลอดแล้วมาช่วงนี้ราคาน้ำตาลตลาดโลกแพงกว่าเพียงไม่กี่ปี หากคิดแค่นี้แล้วไม่แก้ปัญหาก็คงทำอะไรไม่ได้ ควรจะนำประวัติศาสตร์มาแก้ไขในปัจจุบันมากกว่า ไม่ใช่ติดอยู่ในกรงขังเป็นนักโทษของประวัติศาสตร์” นายจักรมณฑ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า กอน. ได้เสนอปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงาน 5 บาทต่อกิโลกรัม นั้น ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันว่า ไม่ได้เสนอให้ขึ้นราคาน้ำตาลทราย 5 บาทต่อกิโลกรัม เพียงแต่ กอน.เห็นว่าราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานในปัจจุบัน 11 บาทต่อกิโลกรัม เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จึงเสนอกลับไปยังคณะกรรมการน้ำตาลทราย (กน.) น่าจะขยับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้นบ้าง แต่ท้ายสุดแล้วราคาน้ำตาลทรายจะปรับขึ้นหรือไม่ เป็นดุลยพินิจของ 3 รัฐมนตรี คือ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ว่าจะเห็นชอบหรือไม่
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะลาออกจากการเป็นประธานคณะกรรมการศึกษาการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบหรือไม่ โดยต้องดูความเหมาะสมก่อน ซึ่งผลการศึกษาจะเสร็จภายในเดือนมกราคม ปีหน้า หากจะมีการเปิดเสรีอุตสาหกรรมดังกล่าว ทั้งเรื่องการนำเข้า การปรับราคาให้เป็นไปตามกลไกตลาดโลก หากจะปรับก็จะค่อยๆ ทำ ไม่ได้เปิดเสรีทันที และในฐานะที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ก็พบว่าการขึ้นราคาน้ำตาลทรายไม่ได้กระทบต่ออัตราเงินเฟ้อมากนัก มีเพียงผู้กระทบหนัก คือ อุตสาหกรรมน้ำหวาน แต่ในอดีต น้ำหวานเหล่านี้ก็ปรับขึ้นจาก 1.50 บาทต่อขวด อีก 7-8 บาทต่อขวดแล้ว ทั้งที่ราคาน้ำตาลทรายไม่ได้ปรับขึ้น
นายจักรมณฑ์ กล่าวด้วยว่า หากไม่เร่งแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมน้ำตาลทราย อาจทำให้อุตสาหกรรมนี้ค่อยๆ ตายไป จะเห็นได้จากชาวไร่อ้อยหันไปปลูกพืชอื่นที่ได้ราคา ได้รายได้ดีกว่า โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ซึ่งหากเกรงว่าประชาชนจะบริโภคน้ำตาลทรายแพง รัฐก็ไม่ควรผลักดันราคาอ้อยขั้นต้นที่สูงถึง 800 บาท/ตัน โดยต้นทุนขณะนี้เพิ่มขึ้นตลอด ยิ่งขณะนี้เท่าที่ทราบมีการแย่งอ้อยเข้าหีบ บางแห่งให้ราคาสูงถึง 900-800 บาท/ตัน