ประธานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ยืนยันปริมาณน้ำตาลทรายที่ออกสู่ตลาดมีอย่างเพียงพอ แต่ยอมรับจากราคาตลาดโลกที่สูงขึ้น ทำให้มีการลักลอบนำน้ำตาลทรายไปจำหน่ายต่างประเทศมาก ส่วนราคาปีหน้าจะปรับขึ้นหรือไม่ คณะทำงานปรับปรุงระบบการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายจะเสนอให้ 3 รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้ขาด
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) กล่าวว่า ขณะนี้ราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 14 เซนต์สหรัฐต่อปอนด์ หรือกิโลกรัมละประมาณ 16 บาท ซึ่งเป็นราคาเทียบกับหน้าโรงงาน ในขณะที่ราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานของไทยอยู่ที่ 11.00 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น และประเทศเพื่อนบ้านล้วนบริโภคน้ำตาลทรายในราคาสูงกว่าประเทศไทย จึงเป็นเหตุผลทำให้มีกองทัพมดลักลอบนำน้ำตาลทรายไปจำหน่ายในต่างประเทศ เพราะอย่างน้อยก็ได้กำไรกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 5 บาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่นที่จะต้องดูแล อย่างไรก็ตาม จากที่ กอน.สำรวจปริมาณน้ำตาลทรายในประเทศยืนยันว่ามีปริมาณเพียงพออย่างแน่นอน ส่วนการดูแลการจำหน่ายน้ำตาลทรายแพงกว่าที่กำหนด กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นด้วยกับกระทรวงพาณิชย์ที่จะเข้ามามีมาตรการเข้มงวดเพิ่มเติมในการดูแล ซึ่งล่าสุดได้ให้แจ้งปริมาณและสถานที่ครอบครองน้ำตาลทรายตั้งแต่ 10,000 กิโลกรัมขึ้นไปแล้ว
นายจักรมณฑ์ กล่าวว่า สำหรับราคาน้ำตาลทรายในประเทศจะมีการปรับขึ้นหรือไม่ในปี 2549 เป็นอำนาจของรัฐบาล โดยเฉพาะ 3 รัฐมนตรีที่ดูแลจะเป็นผู้ตัดสินใจ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยในส่วนของคณะทำงานปรับปรุงระบบการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ซึ่งมีตนเป็นประธานจะมีการสรุปผลภายในเดือนมกราคมนี้ ว่า ระบบการค้าการผลิตการจำหน่ายควรจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดยจะดูเหตุผลต่างๆ ให้ครบถ้วนทั้งภาวะการผลิตและจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้อุตสาหกรรมนี้มีการผลิตอย่างต่อเนื่องไม่ขาดแคลนในอนาคต ซึ่งหากจะมีข้อเสนอว่าจำเป็นต้องขึ้นราคาน้ำตาลทรายเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรจะมีการปรับราคาหรือไม่
ด้านนายกำธร กิตติโชติทรัพย์ เลขาธิการสมาคมชาวไร่อ้อย เขต 7 กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาน้ำตาลทรายขาดแคลน รัฐบาลควรจะปล่อยให้ราคาน้ำตาลทรายเป็นไปอย่างเสรี ปรับขึ้นลงตามกลไกตลาดโลก จะทำให้ราคาในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านไม่แตกต่างกัน รวมทั้งแก้ปัญหาการลักลอบส่งออก โดยขณะนี้เท่าที่ทราบผู้ที่ลักลอบขนน้ำตาลทรายในประเทศเพื่อนบ้านจะได้กำไรสูงถึง 200 - 300 บาทต่อกระสอบ และเพื่อแก้ไขความตื่นตระหนกที่ประชาชนมีการกักตุนน้ำตาลทราย เพราะเกรงว่าราคาน้ำตาลทรายจะปรับขึ้น รัฐบาลควรจะแก้ไขโดยจัดโครงการจำหน่ายน้ำตาลในปริมาณมากนับแสนกระสอบที่บริเวณสนามหลวง หรือสนามศุภชลาศัย จะทำให้มีการลดความตื่นตระหนกไปได้ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามภาวะการผลิตน้ำตาลทราย ขอยืนยันว่ามีการผลิตอย่างเพียงพอ โดยในขณะนี้เข้าฤดูหีบอ้อย น้ำตาลทรายจะออกจากโรงงานสัปดาห์ละ 380,000 กระสอบ จึงไม่มีปัญหาที่น้ำตาลในประเทศจะขาดแคลนแต่อย่างใด
นายกำธร กล่าวว่า ในการปรับปรุงระบบอ้อยและน้ำตาลทราย ทางชาวไร่อ้อยเห็นว่า แม้จะกำหนดราคาเป็นกลไกเสรี แต่ก็คาดว่าราคาคงจะไม่ขยับขึ้นเท่ากับราคาตลาดโลก เพราะผู้ผลิตในประเทศก็ต้องทำราคาแข่งขันกับการนำเข้าจากต่างประเทศ ประกอบกับขณะนี้ประเทศไทยทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ของโลก หากราคาในประเทศสูง ออสเตรเลียก็จะส่งน้ำตาลทรายเข้ามาจำหน่ายเป็นการกดดันให้ราคาถูกลง ซึ่งชาวไร่อ้อยเห็นว่าแม้จะมีการเปิดเสรีทางด้านราคาและการจำหน่ายน้ำตาลทราย แต่ระบบแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานในสัดส่วน 70 : 30 ก็ควรจะมีต่อไป
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) กล่าวว่า ขณะนี้ราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 14 เซนต์สหรัฐต่อปอนด์ หรือกิโลกรัมละประมาณ 16 บาท ซึ่งเป็นราคาเทียบกับหน้าโรงงาน ในขณะที่ราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานของไทยอยู่ที่ 11.00 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น และประเทศเพื่อนบ้านล้วนบริโภคน้ำตาลทรายในราคาสูงกว่าประเทศไทย จึงเป็นเหตุผลทำให้มีกองทัพมดลักลอบนำน้ำตาลทรายไปจำหน่ายในต่างประเทศ เพราะอย่างน้อยก็ได้กำไรกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 5 บาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่นที่จะต้องดูแล อย่างไรก็ตาม จากที่ กอน.สำรวจปริมาณน้ำตาลทรายในประเทศยืนยันว่ามีปริมาณเพียงพออย่างแน่นอน ส่วนการดูแลการจำหน่ายน้ำตาลทรายแพงกว่าที่กำหนด กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นด้วยกับกระทรวงพาณิชย์ที่จะเข้ามามีมาตรการเข้มงวดเพิ่มเติมในการดูแล ซึ่งล่าสุดได้ให้แจ้งปริมาณและสถานที่ครอบครองน้ำตาลทรายตั้งแต่ 10,000 กิโลกรัมขึ้นไปแล้ว
นายจักรมณฑ์ กล่าวว่า สำหรับราคาน้ำตาลทรายในประเทศจะมีการปรับขึ้นหรือไม่ในปี 2549 เป็นอำนาจของรัฐบาล โดยเฉพาะ 3 รัฐมนตรีที่ดูแลจะเป็นผู้ตัดสินใจ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยในส่วนของคณะทำงานปรับปรุงระบบการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ซึ่งมีตนเป็นประธานจะมีการสรุปผลภายในเดือนมกราคมนี้ ว่า ระบบการค้าการผลิตการจำหน่ายควรจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดยจะดูเหตุผลต่างๆ ให้ครบถ้วนทั้งภาวะการผลิตและจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้อุตสาหกรรมนี้มีการผลิตอย่างต่อเนื่องไม่ขาดแคลนในอนาคต ซึ่งหากจะมีข้อเสนอว่าจำเป็นต้องขึ้นราคาน้ำตาลทรายเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรจะมีการปรับราคาหรือไม่
ด้านนายกำธร กิตติโชติทรัพย์ เลขาธิการสมาคมชาวไร่อ้อย เขต 7 กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาน้ำตาลทรายขาดแคลน รัฐบาลควรจะปล่อยให้ราคาน้ำตาลทรายเป็นไปอย่างเสรี ปรับขึ้นลงตามกลไกตลาดโลก จะทำให้ราคาในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านไม่แตกต่างกัน รวมทั้งแก้ปัญหาการลักลอบส่งออก โดยขณะนี้เท่าที่ทราบผู้ที่ลักลอบขนน้ำตาลทรายในประเทศเพื่อนบ้านจะได้กำไรสูงถึง 200 - 300 บาทต่อกระสอบ และเพื่อแก้ไขความตื่นตระหนกที่ประชาชนมีการกักตุนน้ำตาลทราย เพราะเกรงว่าราคาน้ำตาลทรายจะปรับขึ้น รัฐบาลควรจะแก้ไขโดยจัดโครงการจำหน่ายน้ำตาลในปริมาณมากนับแสนกระสอบที่บริเวณสนามหลวง หรือสนามศุภชลาศัย จะทำให้มีการลดความตื่นตระหนกไปได้ อย่างไรก็ตาม จากการติดตามภาวะการผลิตน้ำตาลทราย ขอยืนยันว่ามีการผลิตอย่างเพียงพอ โดยในขณะนี้เข้าฤดูหีบอ้อย น้ำตาลทรายจะออกจากโรงงานสัปดาห์ละ 380,000 กระสอบ จึงไม่มีปัญหาที่น้ำตาลในประเทศจะขาดแคลนแต่อย่างใด
นายกำธร กล่าวว่า ในการปรับปรุงระบบอ้อยและน้ำตาลทราย ทางชาวไร่อ้อยเห็นว่า แม้จะกำหนดราคาเป็นกลไกเสรี แต่ก็คาดว่าราคาคงจะไม่ขยับขึ้นเท่ากับราคาตลาดโลก เพราะผู้ผลิตในประเทศก็ต้องทำราคาแข่งขันกับการนำเข้าจากต่างประเทศ ประกอบกับขณะนี้ประเทศไทยทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ของโลก หากราคาในประเทศสูง ออสเตรเลียก็จะส่งน้ำตาลทรายเข้ามาจำหน่ายเป็นการกดดันให้ราคาถูกลง ซึ่งชาวไร่อ้อยเห็นว่าแม้จะมีการเปิดเสรีทางด้านราคาและการจำหน่ายน้ำตาลทราย แต่ระบบแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานในสัดส่วน 70 : 30 ก็ควรจะมีต่อไป