xs
xsm
sm
md
lg

ไทยเบฟรุกตลาดพรีเมียมเพิ่มพอร์ตกินรวบทุกตลาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"เจริญ สิริวัฒนภักดี" เขย่าตลาดน้ำเมา ประกาศแผนปีจอเดินหน้ารุกตลาดพรีเมียม ชูโมเดลซันโตรี่ต้นแบบ ผุดนโยบาย”พรีเมียมไมยเซชั่น” คลอดสินค้าครบพอร์ตกินรวบทุกเซกเมนต์รากหญ้ายันกลุ่มหรู นำร่องเปิดตัว”บลู”ลงสมรภูมิเหล้าแอดมิกซ์ระดับพรีเมียม ตบเท้าปั้นเบียร์ช้างลงเซกเมนต์พรีเมียมต่อยอด พร้อมยกเครื่องทีมการตลาดใหม่ ปีหน้าตั้งเป้าโต 3-5 % จากรายได้ 54,000 ล้านบาท

นายอวยชัย ตันทโอภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยรวมในปี 2549 บริษัทชูกลยุทธ์ “Premiumizaion” หรือการผลิตเหล้า-เบียร์เซกเมนต์พรีเมียม ทั้งนี้เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ จากที่ผ่านมาสินค้าในเครือของบริษัทส่วนใหญ่เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับรากหญ้ามีราคาตั้งแต่ 50-210 บาท ประกอบด้วย กลุ่มเหล้าขาว 25-35 ดีกรี กลุ่มเหล้าสี แม่โขง,แสงโสม และมังกรทอง กลุ่มเหล้าแอดมิกซ์ ยี่ห้อคราวน์ 99

“กลุ่มเหล้าในเครือของไทยเบฟฯสามารถเติบโตในฐานตลาดระดับล่างเต็มที่แล้ว อย่างเหล้าขาวครองส่วนแบ่งได้ถึง 70% จากมูลค่าตลาด 37,000 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มเหล้าสีและเหล้าแอดมิกซ์ มีส่วนแบ่ง 63-65% ดังนั้นการเติบโตของบริษัทจึงต้องมาจากการขยายฐานไปสู่ตลาดพรีเมียม โดยบริษัทจะใช้โมเดลเหล้าของบริษัทญี่ปุ่น”ซันโตรี่”เป็นต้นแบบ ซึ่งปัจจุบันบริษัทดังกล่าวมีสินค้าที่ครบพอร์ต และเป็นบริษัทเหล้าของชาวเอเชียที่ได้รับความนิยม”

แนวทางเชิงกลยุทธ์กลุ่มเหล้า บริษัทจะค่อยๆขยายไลน์สินค้า โดยขยับไปสู่เซกเมนต์ที่มีตั้งแต่ราคา 200-400 บาทขึ้น เริ่มตั้งแต่การรุกตลาดเหล้าแอดมิกซ์ ล่าสุดปลายปีนี้บริษัทได้รีลอนช์บลู อีเกิ้ลใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น”บลู” ซึ่งจะเป็นเหล้าที่กำลังจะเปิดตัวลงในเซกเมนต์แอดมิกซ์ระดับพรีเมียม มีส่วนผสมจากมอลท์ 5ปี จากโรงงานอินเวอร์เฮ้าส์ ที่ สก๊อตแลนด์ โดยบริษัทใช้งบในการพัฒนา 20 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดแอดมิกซ์ โดยเหล้ายี่ห้อคราวน์เพียง 20% หรือมียอดขาย 7 แสนลัง โดยวางเป้าหมายไว้ว่าในกลุ่มเหล้าแอดมิกซ์ ส่วนแบ่งจะขยับขึ้น 50% หรือมียอดขาย1.2-1.3 ล้านลังในช่วงเวลา 3-4ปีนี้

ทั้งนี้ขยายไลน์สินค้าใหม่จะมีทั้งแบรนด์ใหม่และนำแบรนด์ที่มีศักยภาพและพร้อมด้านการผลิต อย่างแบรนด์แสงโสม และแม่โขง ซึ่งมีโอกาสที่จะแตกไลน์ไปสู่เซกเมนต์อื่นๆเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ระดับแอดมิกซ์ เซกันดารี่ กระทั่งการขยายไปสู่เซกเมนต์สแตนดาร์ด2-4ปีข้างหน้านี้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับปรุงการทำตลาดรวมทั้งบรรจุภัณฑ์แม่โขงและแสงโสม เพื่อยกระดับสู่ภาพลักษณ์พรีเมียมรองรับการขยายไลน์ และผลพวงจากโครงสร้างภาษี รวมทั้งการเปิดตัวสู่ตลาดต่างประเทศมากขึ้น

แหล่งข่าวจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ไม่เพียงแต่ความเคลื่อนไหวในกลุ่มเหล้าเท่านั้น ขณะที่กลุ่มเบียร์ช้างได้เตรียมขยายไลน์ลงสู่เซกเมนต์พรีเมียม สอดคล้องกับนโยบายของบริษัท ขณะเดียวกันก็เป็นการรองรับกับการแข่งขันตลาดเบียร์ในปีหน้า ซึ่งแต่ละค่ายจะงัดการมีสินค้าที่ครอบพอร์ตมาแข่งขันมากขึ้น โดยปัจจุบันเบียร์เซกเมนต์พรีเมียม มีคู่แข่งหลัก ได้แก่ ไฮเนเก้นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่งกว่า 90% คลอสเตอร์ และอาซาฮี

นายอวยชัย กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันบริษัทยังได้ปรับทีมงานการตลาดและการขายใหม่ โดยปรับกลยุทธ์การตลาดในลักษณะคอนซูเมอร์มาร์เก็ตติ้ง หรือเน้นการทำตลาดให้กับทางร้านค้าควบคู่กับการผลักดันสินค้าเข้าร้าน จากเดิมจะเน้นการผลักดันเข้าร้านอย่างเดียว ซึ่งบริษัทได้เตรียมความพร้อมด้านบุคลากรรุ่นใหม่มา 1 ปี โดยปูพรมด้วยการสร้างตราสินค้า ณ จุดขาย เพื่อรองรับกับแนวโน้มการแข่งขันที่จะมีความรุนแรงมากขึ้น

“แนวทางการตลาดของบริษัท จะต้องสอดคล้องกับกฎระเบียบของภาครัฐ โดยยังคงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสังคมอย่างต่อเนื่อง อย่าง แม่โขง จะเน้นส่งเสริมด้านประเพณีไทย เช่น การแข่งเรือยาว ส่วนแสงโสมเน้นกิจกรรมสากล ซึ่งปีหน้าได้เตรียมงบการตลาด 150 ล้านบาท ในการสนับสนุนกิจกรรมสังคม ได้แก่ ช่วยด้านอนุรักษ์ปะการัง บริเวณหมู่เกาะอันดามันของไทย และการสนับสนุนกีฬาที่หลากหลาย”

พร้อมกันนี้ในปีหน้าบริษัทมุ่งเน้นขยายตลาดส่งออกอย่างจริงจังนำร่องถบภูมิภาคเอเชีย โดยใช้แบรนด์”แม่โขง”เป็นหัวหอกหลัก เพราะเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ตั้งบริษัทอินเตอร์ เนชั่นแนล เบฟเวอเรจ โฮลดิ้ง ที่ ประเทศฮ่องกง เพื่อดูแลด้านการทำตลาดต่างประเทศ โดยปีนี้รายได้จากการส่งออก 300 ล้านบาท ปีหน้าตั้งเป้าเติบโตมากกว่า2เท่าตัว ส่วนผลประกอบการในกลุ่มสุราของไทยเบฟ ปีหน้าตั้งเป้าเติบโต 3-5% จากปีนี้ที่มีรายได้ 54,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 52% จากรายได้รวมของบริษัท

สำหรับภาพรวมตลาดสุราไทยและนำเข้าในปี 2549 การเติบโตในเชิงปริมาณ 1.1% ในแง่มูลค่าโต 11%เป็นเพราะโครงสร้างภาษีส่งผลให้ราคาต้องปรับเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มเหล้าสีและนำเข้าโต 6-8% ส่วนเหล้าสีไทยมูลค่า 50,000 ล้านบาท โต 6-8% หรือคิดเป็นมูลค่า 59,000 ล้านบาท ส่วนสุราขาวมูลค่า37,000 ล้านบาท สภาพตลาดทรงตัวหรือเพิ่มเล็กน้อย และแอดมิกซ์โตลดลง 6-8%

กำลังโหลดความคิดเห็น