ผู้ผลิตสีทีโอเอซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดสีถึงร้อยละ 50 ของตลาดสีรวม ถูกกล่อมจากกระทรวงพาณิชย์จนยอมตรึงราคาจำหน่ายสีแก่ผู้ค้าปลีกและค้าส่งต่อไปอีก 4 เดือนอย่างน้อยถึงเดือนมีนาคมปีหน้า จากเดิมจะขอปรับราคาขึ้นเพราะทนต้นทุนไม่ไหวในเดือนธันวาคมนี้ ด้านกระทรวงพาณิชย์เตรียมเชิญกลุ่มผู้ผลิตเหล็กและปูนซิเมนต์หารือเพื่อขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าดังกล่าวต่อไปอีก
นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับผู้บริหารบริษัท ทีโอเอ ว่า ทางผู้บริหารบริษัททีโอเอยอมที่จะไม่ปรับราคาจำหน่ายสีทีโอเอต่อผู้ค้าส่งและค้าปลีก โดยจะตรึงราคาจำหน่ายสีทีโอเอต่อไปอีกจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2549 แม้ว่าเดิมบริษัทตั้งใจที่จะขอยื่นเรื่องปรับราคาจำหน่ายสีต่อกรมการค้าภายในภายในเดือนธันวาคม 2548 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 เพราะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนต่างๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นได้
“ต้องขอขอบคุณที่ทางผู้บริหารทีโอเอยอมที่จะตรึงราคาจำหน่ายสีต่อไปอีกอย่างน้อยกว่า 4 เดือน เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่จะก่อสร้างบ้านใหม่ ซึ่งเหตุผลหลักที่ทางผู้บริหารทีโอเอยอมตรึงราคาจำหน่ายสีทีโอเอต่อไป แม้ต้นทุนต่างๆ จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น สารเคมีที่นำเข้ามาผลิตเป็นสี แต่หากสีทีโอเอซึ่งมีมูลค่าการตลาดสูงถึงกว่าร้อยละ 50 ยอมตรึงราคาสีได้ เชื่อว่าจะไม่ทำให้ผู้ประกอบการสีรายอื่นๆ ปรับราคาจำหน่ายขึ้นอีกทั้งทีโอเอสามารถจัดการเกี่ยวกับบริหารต้นทุนไม่ให้สูงขึ้นและมีการเพิ่มประสิทธภาพการผลิตและอื่นๆ ที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีทำให้การตรึงราคาจำหน่ายสีในครั้งนี้จะไม่ได้รับผลกระทบมากเกินไป” นายปรีชา กล่าว
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวอีกว่า ในเร็วๆ นี้ กระทรวงพาณิชย์จะเชิญกลุ่มผู้ประกอบการสินค้าเหล็กและปูนซิเมนต์มาหารือและสอบถามผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตว่า มีมากน้อยแค่ไหน แต่เชื่อว่ากลุ่มผู้ประกอบการทั้งปูนซิเมนต์และเหล็กน่าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนที่จะยอมตรึงราคาจำหน่ายสินค้าทั้งเหล็กและปูนต่อไปได้ เพราะขณะนี้ หากดูต้นทุนของผู้ประกอบการเหล็ก ราคาเหล็กในตลาดโลกมีแนวโน้มชะลอตัวและไม่สูงขึ้นเหมือนที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าโอกาสที่สินค้าเหล็กน่าจะตรึงราคาสินค้าต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา
อย่างไรก็ตาม นายปรีชา ยอมรับว่า กลุ่มสินค้าประเภทสายไฟฟ้าต่างๆ อาจจะไม่สามารถตรึงราคาสินค้าได้ เนื่องจากต้นทุนประเภททองแดงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป แต่กระทรวงพาณิชย์จะมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด โดยยังเชื่อว่าหากกระทรวงพาณิชย์สามารถควบคุมดูแลกลุ่มสินค้า เช่น เหล็ก ปูนซิเมนต์และสีได้ จะลดผลกระทบต่อค่าครองชีพให้กับประชาชนได้เป็นอย่างดีและลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้อีกด้วย
นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับผู้บริหารบริษัท ทีโอเอ ว่า ทางผู้บริหารบริษัททีโอเอยอมที่จะไม่ปรับราคาจำหน่ายสีทีโอเอต่อผู้ค้าส่งและค้าปลีก โดยจะตรึงราคาจำหน่ายสีทีโอเอต่อไปอีกจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2549 แม้ว่าเดิมบริษัทตั้งใจที่จะขอยื่นเรื่องปรับราคาจำหน่ายสีต่อกรมการค้าภายในภายในเดือนธันวาคม 2548 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 เพราะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนต่างๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นได้
“ต้องขอขอบคุณที่ทางผู้บริหารทีโอเอยอมที่จะตรึงราคาจำหน่ายสีต่อไปอีกอย่างน้อยกว่า 4 เดือน เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่จะก่อสร้างบ้านใหม่ ซึ่งเหตุผลหลักที่ทางผู้บริหารทีโอเอยอมตรึงราคาจำหน่ายสีทีโอเอต่อไป แม้ต้นทุนต่างๆ จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น สารเคมีที่นำเข้ามาผลิตเป็นสี แต่หากสีทีโอเอซึ่งมีมูลค่าการตลาดสูงถึงกว่าร้อยละ 50 ยอมตรึงราคาสีได้ เชื่อว่าจะไม่ทำให้ผู้ประกอบการสีรายอื่นๆ ปรับราคาจำหน่ายขึ้นอีกทั้งทีโอเอสามารถจัดการเกี่ยวกับบริหารต้นทุนไม่ให้สูงขึ้นและมีการเพิ่มประสิทธภาพการผลิตและอื่นๆ ที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีทำให้การตรึงราคาจำหน่ายสีในครั้งนี้จะไม่ได้รับผลกระทบมากเกินไป” นายปรีชา กล่าว
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวอีกว่า ในเร็วๆ นี้ กระทรวงพาณิชย์จะเชิญกลุ่มผู้ประกอบการสินค้าเหล็กและปูนซิเมนต์มาหารือและสอบถามผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตว่า มีมากน้อยแค่ไหน แต่เชื่อว่ากลุ่มผู้ประกอบการทั้งปูนซิเมนต์และเหล็กน่าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนที่จะยอมตรึงราคาจำหน่ายสินค้าทั้งเหล็กและปูนต่อไปได้ เพราะขณะนี้ หากดูต้นทุนของผู้ประกอบการเหล็ก ราคาเหล็กในตลาดโลกมีแนวโน้มชะลอตัวและไม่สูงขึ้นเหมือนที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าโอกาสที่สินค้าเหล็กน่าจะตรึงราคาสินค้าต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา
อย่างไรก็ตาม นายปรีชา ยอมรับว่า กลุ่มสินค้าประเภทสายไฟฟ้าต่างๆ อาจจะไม่สามารถตรึงราคาสินค้าได้ เนื่องจากต้นทุนประเภททองแดงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป แต่กระทรวงพาณิชย์จะมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด โดยยังเชื่อว่าหากกระทรวงพาณิชย์สามารถควบคุมดูแลกลุ่มสินค้า เช่น เหล็ก ปูนซิเมนต์และสีได้ จะลดผลกระทบต่อค่าครองชีพให้กับประชาชนได้เป็นอย่างดีและลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้อีกด้วย