xs
xsm
sm
md
lg

จากบะหมี่-ยูสตาร์สู่มติชน บทเรียนต่อยอดธุรกิจอากู๋

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ก้าวย่างของแกรมมี่ภายใต้การบริหารของนายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม หรือ อากู๋ ที่คิดต่อยอดธุรกิจด้วยการเข้าซื้อหุ้นหนังสือพิมพ์มติชน และบางกอกโพสต์จำนวนมากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะจบลงไปแล้วสมเจตนาแกรมมี่ แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวก็มี "แผลในใจ" ให้อากู๋ได้จำอีกครั้ง

ในวงการบันเทิงโดยเฉพาะค่ายเพลงแล้วต้องยกให้จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ที่บริหารงานโดยนายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม หรืออากู๋ เป็นหัวหอกและผู้นำโดยปริยาย ที่มีการแตกแขนงค่ายเพลงใหญ่น้อยออกไปมากมาย และมีศิลปินนักร้องที่ได้รับความนิยมอยู่มากโข

แต่ใช่ว่าความสำเร็จของธุรกิจเพลงที่มีแฟนเพลงศิลปินทั่วบ้านทั่วเมืองของจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ของอากู๋ จะส่งผลดีต่อการขยายอาณาจักรและการทำธุรกิจอื่นด้วย ซึ่งมีหลายครั้งและหลายธุรกิจที่คนอย่างอากู๋พยายามที่จะแตกไลน์ออกไป โดยหวังที่จะใช้ความบันเทิงและศิลปินเป็นฐานหลักในการต่อยอดธุรกิจอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดทุกกรณี

หากมองย้อนกลับในช่วงไม่กี่ปีมานี้จะพบได้ว่าอากู๋หยั่งขาลงไปในธุรกิจใหม่ๆจำนวนมาก แต่ที่เป็นข่าวฮือฮาใหญ่โตคงหนีไม่พ้นการเข้าสู่ธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และการเข้าสู่ธุรกิจขายตรง ซึ่งทั้งสองธุรกิจนี้หากมองด้วยสายตาของคนทั่วไปแล้วถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีความเกี่ยวเนื่องกับเพลงเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองตลาดนี้กล่าวได้ว่า “หิน” ทั้งคู่ การแข่งขันก็รุนแรงและแบรนด์เก่าก็ล้วนแต่ยึดตลาดและความจงรักภักดีต่อตัวผู้บริโภคไปหมดแล้ว

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าตลาดไม่น้อยกว่า 9,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีสามค่ายยักษ์ คือ มาม่า ครองแชร์มากกว่า 50-60% ส่วนยำยำกับไวไวนั้นก็พอฟัดพอเหวี่ยงกัน ส่วนที่เหลือก็เป็นรายย่อยที่มีแชร์รวมกันไม่เกิน 10% แล้วแบรนด์ “โฟร์มี” ของอากู๋จะแทรกตลาดอย่างไร

หรือธุรกิจขายตรงที่มีหลายค่ายทั้งมิสทินและเอวอนที่เป็นขายตรงชั้นเดียว หรือขายตรงหลายชั้นอย่างแอมเวย์ กิฟฟารีน ยูนิลีเวอร์เน็ทเวิร์ค และอีกนับสิบรายที่ต่างก็มีจุดแข็งและมีสมาชิกเครือข่ายหรือนักขายอยู่ในมือจำนวนหลายแสนคน แล้วแบรนด์ “ยูสตาร์” ของอากู๋จะแจ้งเกิดอย่างไร

ด้วยพื้นฐานและประสบการณ์ในอดีตก่อนที่จะตั้งจีเอ็มเอ็มแกรมมี่นั้น อากู๋เคยทำงานด้านการตลาดคอนซูเมอร์มาก่อนที่เครือสหพัฒน์ ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้นอีก อีกทั้ง “โฟร์มี” ที่เริ่มก่อตั้งก็มีจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ถือหุ้นใหญ่ก็มีบริษัทในเครือสหพัฒน์เข้ามาร่วมถือหุ้นด้วย

อากู๋มองเพียงแค่ว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตลาดโตเฉลี่ยเกือบ 10% ต่อปี โอกาสจึงมีอยู่มาก หากสามารถสร้างจุดต่างและหาช่องว่างให้ได้ โดยจะนำเอาศิลปินเข้ามาสร้างสีสันและจุดขาย คิดว่าอย่างน้อยที่สุดบรรดาแฟนคลับของศิลปินก็น่าจะเป็นตลาดแรกที่เข้าไปเจาะได้อย่างง่ายดาย คิดเหมือนกับว่า ศิลปินแต่งตัวแบบไหนแล้วพวกแฟนคลับก็มักเลียนแบบตาม ครั้งนี้ก็น่าจะไม่ต่างกัน

ทว่าเรื่องของอาหารการกินนั้น ต้องขึ้นอยู่กับรสนิยมของตัวใครตัวมัน จูงจมูกกันง่ายๆไม่ได้ งานโฆษณาที่นำเสนอออกมาในช่วงแรกก็เน้นไปที่ศิลปินนักร้องของจีเอ็มเอ็มแกรมมี่เองมาเป็นพรีเซนเตอร์ แต่ดูเหมือนโฆษณาไม่โดนใจและไม่ดึงดูดให้อยากลองทานเอาเสียเลย รสชาติของ “โฟร์มี” ก็ยังไม่ค่อยจะลงตัวสักเท่าใดนัก และยังมีเมนูที่น้อยทำให้ทางเลือกของผู้บริโภคแคบลงเมื่อเทียบกับเจ้าตลาดเดิมที่เชี่ยวชาญมานานไม่ต่ำกว่า 30 ปี

อีกทั้งเจอแรงกดดันการรับน้องใหม่จากเจ้าตลาดเดิมชนิดรุนแรงด้วยโปรโมชั่นและกิจกรรมต่างๆ การกระจายสินค้าของ “โฟร์มี” เองก็ยังไม่ทั่วถึง ตามโมเดิร์นเทรดต่างๆก็แทบจะหาไม่ได้ ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่เองที่สินค้าใหม่และยังไม่เป็นที่ต้องการของตลาดก็มักจะถูกเมินจากเจ้าของพื้นที่ค้าปลีกอย่างโมเดิร์นเทรดทั้งหลาย
                         
                     **คลิ๊กด้านขวามือเพื่ออ่านหน้าต่อไป**

แม้จะมีเครือสหพัฒน์ถือหุ้นอยู่แต่ก็ไม่ช่วยอะไรไม่มาก เพราะสหพัฒน์เองก็กลัวว่าหากปั้นโฟร์มีขึ้นมาจนโด่งดังได้ แน่นอนว่าย่อมต้องส่งผลกระเทือนต่อบัลลังก์และแชร์ของมาม่า ดังนั้นเมื่อออกแรงครั้งใครๆก็รู้ดีว่าสหพัฒน์ออกแรงไม่มาก ซึ่งแม้จะพยายามปรับกลยุทธ์ ปรับเมนู ปรับทิศทางการตลาดใหม่ๆ ปรับแนวทางโฆษณา เรียกว่าปรับทุกอย่างทุกกระบวนท่าแล้วก็ตาม สุดท้ายจึงล้มไม่เป็นท่า อากู๋จึงต้องยอมขายหุ้นและแบรนด์นี้ให้กับค่ายสหพัฒน์รับช่วงต่อไป และถึงทุกวันนี้ โฟร์มี ก็ยังเงียบเป็นเป่าสาก

ส่วนธุรกิจขายตรงนั้นก็เช่นกัน หวังที่จะเอาศิลปินนักร้องในค่ายมาเป็นตัวดูดตลาด ซึ่งในช่วงแรกได้ดึงเอานางลดาวัลย์ วงศ์ศรีวงศ์ เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการ เพราะต้องการที่จะให้ ลดาวัลย์ ซึ่งเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและมีความใกล้ชิดกับบรรดาชาวบ้านรากหญ้าทั่วไประดับอำเภอ ที่น่าจะเป็นการสร้างตลาดในช่วงแรกได้ มุ่งกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลักเพราะสินค้าขายความสวยงามอยู่แล้ว แต่ทำได้ไม่นาน “ลดาวัลย์” ก็ลาออกอ้างว่าต้องการกลับสู่แวดวงการเมืองอีกครั้ง

โฆษณาของยูสตาร์ก็ไม่ต่างจาก โฟร์มี ที่เอานักร้องดังมาเป็นตัวชูโรงหวังสร้างความคึกคัก แต่ปัจจุบันแทบจะไม่มีโฆษณาชุดใหม่ออกมาอีกเลย ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการที่เปลี่ยนมาถึง 3 คน กระทั่งล่าสุด คือ นางเซายู ดัลกลิช ที่มีประสบการณ์ธุรกิจขายตรงโดยตรง ก็ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นมาบ้าง หลังจากเข้ามาบริหารประมาณ 4 เดือน พร้อมกับการปรับกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง ด้วยการเบนเข็มกลุ่มเป้าหมายมาเน้นที่ ผู้หญิงวัยทำงานมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นตลาดที่มีความมั่นคงกว่าและมีแบรนด์รอยัลตี้มากกว่าวัยรุ่นที่เปลี่ยนแปลงง่าย และปรับระดับราคาสูงขึ้นให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในปีหน้าจะใช้พรีเซ็นเตอร์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

การเดินเกมคราวนี้ยังสยายปีกเข้าสู่ค้าปลีกด้วยการตั้ง “ยูสตาร์ บูติก” เป็นช่องทางกระจายสินค้าให้กับสมาชิก ที่มีถึง 5 หมื่นราย และตั้งเป้าว่าจะเพิ่มอีก 40% ในสิ้นปีนี้ โดยคาดหวังจะมี ยูสตาร์ บูติกถึง 200 แห่งในสิ้นปีนี้ เพื่อกระจายสินค้าที่มีกว่า 200รายการ ก่อนที่จะขยายสู่ช่องทางเว็บไซต์และโทรศัพท์ ซึ่งยอดขายปีที่แล้วของยูสตาร์มีรายได้กว่า 600 ล้านบาท ซึ่งยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า ยูสตาร์ จะอยู่หรือจะไป เพราะสถานภาพวันนี้ยังต่างจาก โฟร์มี

อีกหนึ่งธุรกิจแม้จะเป็นบันเทิงแต่ก็ไม่สำเร็จคือ สร้างภาพยนตร์ ซึ่งหลายเรื่องที่ขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นหนังแผ่นหรือหนังฉายโรง ซึ่งแกรมมี่ทำได้ไม่นานก็ต้องชะลอและเงียบหายไป ปัจจุบันจึงต้องแก้เกมด้วยการเลิกลุยเดี่ยว แต่หันไปจับมือกับพันธมิตรก่อตั้งบริษัทใหม่โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของแต่ละคนมาเป็นแรงผลักดัน ซึ่งดูเหมือนว่าก็น่าจะไปได้ดีกว่าแบบเดิม ในนามบริษัท จีทีเอช จำกัด

ซึ่ง “จี” คือแกรมมี่ เชี่ยวชาญการตลาด ด้านสื่อและมีสื่ออยู่ในมือ “ที” คือ ไทเอนเตอร์เทนเมนท์ผู้สร้างหนังไทยติดตลาดเป็นที่ยอมรับของวงการ และ “เอช” คือ หับโห้หิ้น มือโปรแห่งวงการโปรดักชั่นเฮาส์และผลิตหนัง สรุปได้ว่า บันเทิงที่ผ่านรูหูไปได้ฉลุย แต่ที่เป็นบันเทิงบนแผ่นฟิล์ม แกรมมี่ล้มเหลว

แม้ธุรกิจเพลงเองที่เป็นเส้นเลือดหลักหล่อเลี้ยงชีวิตและองค์กรก็ต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ โดยยุบแล้วรวม จากเดิมมีประมาณ 15 ค่ายเพลง ก็บีบให้เหลือเพียง 6 ค่ายคือ แกรมมี่โกลด์, แกรมมี่ฮิต, จินนี่เรคคอร์ด, มอร์มิวสิก, อัพจี, แกรมมี่แกรนด์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะมีหัวเรือใหญ่ดูแลแต่ละค่าย แต่ทั้งหมดจะขึ้นตรงต่อบอร์ด ที่ตั้งขึ้นมาคุมโดยเฉพาะ

ยังต้องจับตาดูธุรกิจใหม่อีกอย่างที่ อากู๋ มีแผนจะทำคือ เสื้อผ้า แต่ไม่รู้ว่าถึงเวลานี้แล้วแผนนี้ยังมีอยู่ในความคิดอีกหรือไม่ หรือแม้แต่ การเจรจาซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นอีกธุรกิจใหม่ที่สร้างความฮือฮาไม่แพ้กัน ก็ยังไม่มีบทสรุป

ขณะที่การรุกคืบหวังเป็นหุ้นใหญ่ใน บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ที่ถูกต่อต้านอย่างหนัก และ อากู๋ ต้องใส่เกียร์ถอยไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ แต่เชื่อได้เลยว่า คนอย่าง อากู๋ -ไพบูลย์ คงไม่อยู่นิ่งแน่นอน แม้จะรู้ว่าธุรกิจใหม่ๆที่ขยับขยายออกไป ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยเพราะด้วยวิญญาณของนักธุรกิจ นักลงทุนแล้ว อะไรก็ได้ที่ทำแล้วได้เงินมา คือเป้าหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น