“วีรพงษ์ รามางกูร” แนะรัฐใช้นโยบายตั้งรับ พร้อมเร่งลงทุนกิจการต่างๆ โดยให้กู้เงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนด้วยเพราะเชื่อว่า ราคาน้ำมันยังจะมีอัตราสูงขึ้นเช่นนี้ต่อไปประมาณ 1-2 ปี และเห็นว่าหากจะให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง อัตราดอกเบี้ยจะต้องปรับสูงขึ้น โดยจะต้องสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐร้อยละ 0.25 พร้อมปฎิเสธที่จะตอบคำถามว่าจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจหรือไม่
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ๊ดวานซ์อะโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา “จับตาเศรษฐกิจ ผนึกพลังกระตุ้นตลาดสิ่งพิมพ์ไทย” ว่า รัฐบาลจะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายเชิงรุกมาเป็นการตั้งรับ แต่ไม่ใช่มองว่าเศรษฐกิจไทยถดถอยหรือถอยหลัง แต่เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นเช่นนี้ จึงมีความจำเป็นต้องใช้นโยบายตั้งรับโดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องเร่งเข้ามาลงทุนในกิจการต่างๆ เพิ่มขึ้น และที่สำคัญการลงทุนอย่ามองเพียงแต่จะเอาเงินบาทหรือเงินภายในประเทศมาลงทุนเท่านั้น จะต้องดำเนินการกู้เงินจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นเงินระยะยาวเข้ามาลงทุน ซึ่งเชื่อว่า ราคาน้ำมันยังจะมีอัตราสูงขึ้นเช่นนี้ต่อไปประมาณ 1-2 ปี
นายวีรพงษ์ กล่าวว่า สิ่งน่าเป็นห่วงคือ ความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งนโยบายทางการเงินของไทยยังไม่ทันต่อเหตุการณ์ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องติดตามในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศของไทยยังต่ำกว่าดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ดังนั้นหากจะให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งอัตราดอกเบี้ยจะต้องปรับสูงขึ้น โดยจะต้องสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐร้อยละ 0.25 เพราะตามคาดการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 4-5.5 ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยไทยก็น่าจะต้องปรับตามสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐด้วย อย่างก็ไรก็ตาม จากที่ได้มีการติดตามเศรษฐกิจไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีการฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น รัฐบาละจะต้องดำเนินการบริหารและจัดการอย่างเป็นระบบต่อไป
ทั้งนี้ หลังงานสัมมนานักข่าวพยายามจะสอบถามว่าจะรับตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการปรับ ครม.หรือไม่ แต่นายวีรพงษ์ได้ปฏิเสธในการตอบคำถามทุกๆ เรื่อง
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ๊ดวานซ์อะโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา “จับตาเศรษฐกิจ ผนึกพลังกระตุ้นตลาดสิ่งพิมพ์ไทย” ว่า รัฐบาลจะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายเชิงรุกมาเป็นการตั้งรับ แต่ไม่ใช่มองว่าเศรษฐกิจไทยถดถอยหรือถอยหลัง แต่เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นเช่นนี้ จึงมีความจำเป็นต้องใช้นโยบายตั้งรับโดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องเร่งเข้ามาลงทุนในกิจการต่างๆ เพิ่มขึ้น และที่สำคัญการลงทุนอย่ามองเพียงแต่จะเอาเงินบาทหรือเงินภายในประเทศมาลงทุนเท่านั้น จะต้องดำเนินการกู้เงินจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นเงินระยะยาวเข้ามาลงทุน ซึ่งเชื่อว่า ราคาน้ำมันยังจะมีอัตราสูงขึ้นเช่นนี้ต่อไปประมาณ 1-2 ปี
นายวีรพงษ์ กล่าวว่า สิ่งน่าเป็นห่วงคือ ความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งนโยบายทางการเงินของไทยยังไม่ทันต่อเหตุการณ์ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องติดตามในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศของไทยยังต่ำกว่าดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา ดังนั้นหากจะให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งอัตราดอกเบี้ยจะต้องปรับสูงขึ้น โดยจะต้องสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐร้อยละ 0.25 เพราะตามคาดการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 4-5.5 ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยไทยก็น่าจะต้องปรับตามสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐด้วย อย่างก็ไรก็ตาม จากที่ได้มีการติดตามเศรษฐกิจไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีการฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น รัฐบาละจะต้องดำเนินการบริหารและจัดการอย่างเป็นระบบต่อไป
ทั้งนี้ หลังงานสัมมนานักข่าวพยายามจะสอบถามว่าจะรับตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการปรับ ครม.หรือไม่ แต่นายวีรพงษ์ได้ปฏิเสธในการตอบคำถามทุกๆ เรื่อง