กระทรวงพาณิชย์เรียกผู้ประกอบการหารือตรึงราคาสินค้าไปอีก 3 เดือน โดยย้ำว่าจะต้องไม่มีการลดขนาดและคุณภาพสินค้า พร้อมกับแก้ไขปัญหาผงชูรสที่ไม่ยอมส่งสินค้าให้กับห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ โดยอ้างต้องการปรับราคาก่อน โดยพร้อมจะดำเนินการตามกฎหมายทันที
นายพิศิษฐ เศรษฐวงศ์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้เชิญผู้ประกอบการสินค้า 37 รายการ จำนวน 120 รายเข้าหารือ เพื่อขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้าขายปลีกในราคาเดิม โดยผู้ประกอบการดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศและนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ อาทิ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม เช่น นมถั่วเหลือง อาหารกึ่งสำเร็จรูป บรรจุภาชนะผนึก น้ำซีอิ้ว นมข้นหวาน หมวดของใช้ประจำวัน เช่น ถ่านไฟฉาย หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ เช่น กระดาษชำระและเยื่อกระดาษ หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น หม้อหุงข้าว โทรทัศน์ เตารีด เพื่อขอความร่วมมือให้ตรึงราคาสินค้าต่อไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-30 กันยายน 2548 ซึ่งจากการหารือดังกล่าวผู้ประกอบการยินดีให้ความร่วมมือในการกำหนดราคาสินค้าให้ตัวแทนจำหน่ายขายปลีกในราคาคงเดิม
นายพิศิษฐ กล่าวอีกว่า หากมีภาระต้นทุนสูงขึ้นจนไม่สามารถกำหนดราคาเดิมได้ กระทรวงพาณิชย์จะหารือกับกรมการค้าภายในเพื่อพิจารณาปรับเพิ่มราคาขายส่งหรือราคาหน้าโรงงาน โดยไม่ให้เกินภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง แต่ได้กำชับว่า การตรึงราคาจะต้องไม่มีการปรับลดขนาดหรือคุณภาพสินค้า และต้องกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค
ขณะที่นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ได้มีผู้ประกอบการบางส่วนขอปรับราคาสินค้าเช่น ผงชูรส ซึ่งขณะนี้ได้รับร้องเรียนจากห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ว่าผู้ผลิตผงชูรสไม่ยอมส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในห้าง โดยยื่นข้อเสนอว่าจะส่งสินค้าให้เมื่อปรับราคาผงชูรสขึ้น ดังนั้น ในเบื้องต้นกรมการค้าภายในจะขอความร่วมมือให้ขายสินค้าราคาเดิมไปก่อนและจะขอตรวจสอบหลักฐานสตอกสินค้า หากไม่ตรงตามความจริงหรือมีปัญหาเกิดขึ้น ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะในเบื้องต้นจะมีการขอความร่วมมือและขอดูหลักฐานและเข้าทำการตรวจสอบ หากมีการกระทำผิดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายตามมาตรา 29 จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท รวมถึงจะพิจารณาให้เป็นสินค้าควบคุมด้วย โดยยืนยันว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมายังไม่เคยให้ราคาสินค้า 120 รายการปรับขึ้นราคา แต่ถ้าหากผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนสูงขึ้นจนรับไม่ไหว ก็พร้อมพิจารณา แต่ต้องเข้าไปตรวจสอบโดยระเอียด โดยเฉพาะต้นทุนย้อนหลังในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค
นายพิศิษฐ เศรษฐวงศ์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้เชิญผู้ประกอบการสินค้า 37 รายการ จำนวน 120 รายเข้าหารือ เพื่อขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้าขายปลีกในราคาเดิม โดยผู้ประกอบการดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศและนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ อาทิ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม เช่น นมถั่วเหลือง อาหารกึ่งสำเร็จรูป บรรจุภาชนะผนึก น้ำซีอิ้ว นมข้นหวาน หมวดของใช้ประจำวัน เช่น ถ่านไฟฉาย หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ เช่น กระดาษชำระและเยื่อกระดาษ หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น หม้อหุงข้าว โทรทัศน์ เตารีด เพื่อขอความร่วมมือให้ตรึงราคาสินค้าต่อไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม-30 กันยายน 2548 ซึ่งจากการหารือดังกล่าวผู้ประกอบการยินดีให้ความร่วมมือในการกำหนดราคาสินค้าให้ตัวแทนจำหน่ายขายปลีกในราคาคงเดิม
นายพิศิษฐ กล่าวอีกว่า หากมีภาระต้นทุนสูงขึ้นจนไม่สามารถกำหนดราคาเดิมได้ กระทรวงพาณิชย์จะหารือกับกรมการค้าภายในเพื่อพิจารณาปรับเพิ่มราคาขายส่งหรือราคาหน้าโรงงาน โดยไม่ให้เกินภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง แต่ได้กำชับว่า การตรึงราคาจะต้องไม่มีการปรับลดขนาดหรือคุณภาพสินค้า และต้องกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค
ขณะที่นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ได้มีผู้ประกอบการบางส่วนขอปรับราคาสินค้าเช่น ผงชูรส ซึ่งขณะนี้ได้รับร้องเรียนจากห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ว่าผู้ผลิตผงชูรสไม่ยอมส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในห้าง โดยยื่นข้อเสนอว่าจะส่งสินค้าให้เมื่อปรับราคาผงชูรสขึ้น ดังนั้น ในเบื้องต้นกรมการค้าภายในจะขอความร่วมมือให้ขายสินค้าราคาเดิมไปก่อนและจะขอตรวจสอบหลักฐานสตอกสินค้า หากไม่ตรงตามความจริงหรือมีปัญหาเกิดขึ้น ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะในเบื้องต้นจะมีการขอความร่วมมือและขอดูหลักฐานและเข้าทำการตรวจสอบ หากมีการกระทำผิดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายตามมาตรา 29 จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท รวมถึงจะพิจารณาให้เป็นสินค้าควบคุมด้วย โดยยืนยันว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมายังไม่เคยให้ราคาสินค้า 120 รายการปรับขึ้นราคา แต่ถ้าหากผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนสูงขึ้นจนรับไม่ไหว ก็พร้อมพิจารณา แต่ต้องเข้าไปตรวจสอบโดยระเอียด โดยเฉพาะต้นทุนย้อนหลังในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค