xs
xsm
sm
md
lg

"สมคิด" สั่งพาณิชย์ขยายเป้าส่งออกปี 48 เป็นร้อยละ 20

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ให้นโยบายกระทรวงพาณิชย์เพิ่มยอดส่งออกปี 48 จากเดิมที่ตั้งเป้าเติบโตร้อยละ 13-15 เป็นร้อยละ 20 พร้อมกำชับทุกกระทรวงต้องทำงานประสานกันอย่างไม่มีพรมแดนเพื่อผลักดันการส่งออก ลดการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังรับฟังยุทธศาสตร์การค้าระหว่างประเทศของคณะผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์ โดยยอมรับว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สถิติการนำเข้าโดยเฉพาะราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แต่มูลค่าการส่งออกไม่สูงขึ้น ซึ่งถือเป็นการสวนกระแส และจากเป้าหมายตัวเลขการส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งไว้ในปี 2548 ว่า จะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 13-15 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น จากการที่มีการหารือกับนายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต่างก็ไม่พอใจตัวเลขดังกล่าว เพราะเห็นว่าปี 2547 กระทรวงพาณิชย์สามารถผลักดันตัวเลขการส่งออกให้เติบโตได้ถึงร้อยละ 22 ดังนั้น จึงคิดว่าในปี 2548 กรมส่งเสริมการส่งออกน่าจะสามารถผลักดันการส่งออกได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ซึ่งคงต้องฝากนางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก รวมถึงนายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ที่มีความรู้และความสามารถสูง น่าจะสามารถปรับประมาณการผลักดันตัวเลขการส่งออกในปีนี้เติบโตได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20

“เชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์จะสามารถทำตัวเลขการส่งออกในปีนี้ได้ตามที่คาดหวังไว้ แม้ว่าจะต้องใช้งบประมาณ หรือบุคคลที่มีความรู้และความสามารถ ที่สำคัญอาจไม่จำเป็นที่จะต้องใช้บุคคลภายในประเทศ โดยอาจจะทำการว่าจ้างบุคคลในต่างประเทศให้ช่วยกันเจาะตลาดทั้งตลาดเก่าและตลาดใหม่ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อเมริกา และอีกหลายประเทศ ซึ่งรัฐบาลพร้อมหากเห็นว่าจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพื่อที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทย” นายสมคิด กล่าว

นายสมคิด กล่าวอีกว่า การรับฟังข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ในครั้งนี้ ที่สำคัญต้องการให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามาช่วยรัฐบาลในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยต่อไปกระทรวงเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงการคลัง อุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ จะต้องทำงานแบบไม่มีพรมแดน และจะต้องทำงานประสานร่วมมือกับทุกกระทรวงเพื่อให้เป้าหมายที่มีการตั้งไว้ไปสู่ผลสำเร็จ เพราะยอมรับว่าแต่ละกระทรวงจะทำงานแข่งขันกัน มีการปะทะกัน ดังนั้น ต่อจากนี้ทุกหน่วยงานต้องทำงานประสานความร่วมมือเพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินค้าไทยมีศักยภาพดีขึ้น

นายสมคิด กล่าวว่า ได้ฝากงานให้กระทรวงพาณิชย์ว่า จะทำอย่างไรที่จะสร้างแบรนด์เนมสินค้าไทยและเพิ่มช่องทางการเจาะตลาด ส่วนกระทรวงการคลังที่มีหน่วยงานด้านปล่อยสินเชื่อ เช่น ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ก็มีความพร้อม ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์จะเน้นการสนับสนุนเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ลืมมองไปว่ากลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีของไทย ซึ่งมีมากกว่า 3,000 รายเหมาะสมที่จะมีการพัฒนา เพราะเห็นว่ามีศักยภาพที่จะสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมสินค้าไทยไปเจาะตลาดต่างประเทศให้ได้ ซึ่งกระทรวงการคลังก็พร้อม หากเห็นว่าติดในเรื่องภาษี หรือไม่มีเงินทุน ก็ยินดีที่จะมีการปรับปรุงเพื่อให้สินค้าไทยมีศักยภาพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอยากเห็นหน่วยงานที่ดูแลเศรษฐกิจร่วมประสานมือส่งเสริมอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ภัตตาคารอาหารไทย ควรมีการจัดตั้งในต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น หรือการจัดตั้งศูนย์สินค้าโอท็อปในต่างประเทศ ซึ่งยอมรับว่าวันนี้ราคาน้ำมันแพง อัตราการนำเข้ายังมีสถิติสูง ดังนั้น หากมีการปรับโครงสร้างได้ ก็จะทำให้การส่งออกสินค้าไทยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“ปีนี้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องทำงานให้หนักขึ้น จะต้องทำอย่างไรไม่ให้ดุลการค้าหรือดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมาก โดยจะต้องผลักดันให้การส่งออกสูงขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ขาดดุลมาก หรืออาจจะได้ดุล โดยเป้าส่งออกที่ตั้งไว้ให้ได้ร้อยละ 20 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะต้องเข้าไปดูรายประเทศว่าจะสามารถผลักดันการส่งออกให้สูงขึ้นได้อย่างไร และจะช่วยเหลือผู้ส่งออกได้อย่างไร” นายสมคิด กล่าว

นายทนง กล่าวว่า จากตัวเลขที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่าไทยจะขาดดุลในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น กระทรวงพาณิชย์จะต้องทำงานให้หนักขึ้น โดยมีเป้าหมายในปี 2548 จะพยายามผลักดันตัวเลขการส่งออกเกิน 112,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 อย่างไรก็ตาม สถิติการนำเข้ายังมีอัตราสูง ดังนั้น จะต้องหาหนทางในส่วนของการนำเข้าให้สมดุลกับการส่งออก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์คงต้องไปจัดทำตัวเลขการส่งออกให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อไป

นายสุริยา กล่าวว่า ไม่รู้สึกหนักใจ จากการที่รองนายกรัฐมนตรีต้องการเห็นตัวเลขการส่งออกของไทยในปีนี้ต้องขยายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 จากเป้าหมายเดิมที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าจะผลักดันการส่งออกในปีนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 13-15 โดยขณะนี้กระทรวงพาณิชย์มีแผนในการเจาะตลาดทั้งตลาดเก่าและตลาดใหม่ โดยเฉพาะการเจาะตลาดโดยผ่านทีมอินเตอร์เทรดเดอร์และกลุ่มผู้ส่งออกอัจฉริยะ อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์ยังมีเป้าหมายที่จะกระจายสินค้าไทยโดยผ่านช่องทางการจัดงานเอ็กซิบิชั่นในประเทศต่าง ๆ รวมถึงการเปิดไทยแลนด์มาร์เก็ตเพลสและไทยแลนด์พลาซ่า ซึ่งตามเป้าหมายไทยแลนด์พลาซ่าที่ประเทศสหรัฐน่าจะเปิดได้ในเดือนตุลาคมนี้ รวมทั้งโครงการอื่น ๆ ที่รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ก็มีแผนที่จะเจาะตลาดด้วยเช่นกัน ส่วนแนวทางการลดการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็มีแผนอยู่แล้ว และพร้อมที่จะทำงานอย่างเต็มที่

คลังข้อมูลผู้จัดการ:
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
กำลังโหลดความคิดเห็น