“ชลาชล” ชี้ภาพรวมธุรกิจเสริมสวยปีไก่ชะลอตัว ผู้บริโภคหันหารายใหญ่ คาดรายเล็กทยอยปิดตัว 20% หวั่นเม็ดเงินต่างชาติเข้าเทคโอเวอร์ซาลอนไทย เตรียมรีล้อนช์ “ควิกคัท” ใหม่ใช้รับมือ ขยายสาขาแทนแบรนด์ชลาชล ตั้งเป้าสิ้นปีครบ 30 แห่ง
นายสมศักดิ์ ชลาชล ประธานกรรมการ บริษัท ชลาชล จำกัด ผู้บริหารธุรกิจเสริมสวยชลาชล, ควิกคัท และบีเคเค ซาลอน เดอ แบงค็อก เปิดเผยว่า ปีนี้คาดว่าการขยายตัวของธุรกิจเสริมสวยจะชะลอตัวลง ในขณะที่ช่วงปี 2546 – 2547 ที่ผ่านมาธุรกิจนี้มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องถึง 15-20%
การที่ธุรกิจเสริมสวยชะลอตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคจะหันมาใช้บริการกับร้านใหญ่ที่มีคุณภาพมากขึ้น ทำให้ธุรกิจเสริมสวยรายเล็กต้องทยอยปิดตัวประมาณ 20% จากจำนวน 125,000 ร้านทั่วประเทศ หรือร้านเล็กก็จะทยอยปรับตัวขึ้นเป็นร้านใหญ่ที่มีคุณภาพมากขึ้น และรายใหม่ก็จะเกิดยากขึ้น เพราะลูกค้าจะมีความจงรักภักดีกับร้านเดิมที่เคยใช้บริการ
นอกจากนี้ บริษัทยังกังวลว่าเม็ดเงินจากต่างชาติจะเข้ามาแทรกแซงธุรกิจเสริมสวยในไทยด้วยกลยุทธ์เทคโอเวอร์ร้านต่างๆ เหมือนในต่างประเทศ จึงเตรียมแผนรีล้อนช์ครั้งใหญ่ให้กับแบรนด์ควิกคัท ซึ่งเป็นแบรนด์ที่จับกลุ่มวัยรุ่นอายุประมาณ 15 ปีขึ้นไป เพื่อให้เป็นแบรนด์หลักในการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากแบรนด์ควิกคัทมีความคล่องตัวในการขยายมากกว่าชลาชลที่ใช้เม็ดเงินสูงถึง 5 ล้านบาทต่อ 1 สาขาใช้พื้นที่มากถึง 170 ตร.ม. และภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่พรีเมียมมาก ทำให้หาทำเลที่เหมาะสมได้ยาก ในปีนี้แบรนด์ชลาชลจึงอาจจะต้องชะลอการเปิดสาขาใหม่ชั่วคราว ขณะที่ร้านควิกคัทใช้เม็ดเงินลงทุนเพียง 1 - 2 ล้านบาท ใช้พื้นที่เพียง 60 ตร.ม. และสามารถเป็นไฟท์ติ้งแบรนด์ที่กระจายได้ทั่วประเทศอย่างรวดเร็วด้วยระบบขายแฟรนไชส์ โดยปีนี้ตั้งเป้าที่จะเปิดสาขาให้ครบ 30 แห่งจากปัจจุบันที่มี 4 แห่ง ในกรุงเทพฯ 3 แห่ง และจ.สุราษฎร์ธานี 1 แห่ง
ขณะที่แบรนด์ชลาชลปัจจุบันมี 8 สาขา (รวมสาขาอัมรินทร์ พลาซา) และแบรนด์บีเคเค ซาลอน เดอ แบงค็อกที่มีสาขาอยู่ที่ดิ เอ็มโพเรียมนั้น คาดว่าจะเปิดอีกเพียง 1 สาขาที่สยามพารากอนเท่านั้น เพราะเป็นแบรนด์ที่พรีเมียมมากที่สุด
สำหรับการปรับคอนเซ็ปต์ใหม่ให้กับชลาชลเป็นสไตล์ “ฮิพ ซาลอน” เพื่อเน้นความเป็นไลฟ์สไตล์ของคน ตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงการใช้ระบบเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้กับการเก็บฐานลูกค้า ทำให้ทราบว่า ในปี 2547 มีลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการประมาณ 12,000 คนต่อเดือนทุกสาขา หรือไม่ต่ำกว่า 1 แสนรายต่อปี โดยมีอัตราการเข้ามาใช้บริการเฉลี่ยต่อ 1 คนจำนวน 4 ครั้งต่อปี และมีค่าใช้จ่ายต่อหัว 650 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวเพียง 450 บาทต่อคน
ล่าสุด เปิดตัวสาขาอัมรินทร์ พลาซาซึ่งเป็นสาขาใหม่ล่าสุดของชลาชล พร้อมกับจับมือร่วมกับพันธมิตร 5 ราย คือ บีเอ็มดับบลิว, เวอร์ตู, เอไอเอส การ์ด, ซิตี้ แบงค์ เคลียร์ และชวาร์สคอฟ ในการทำโปรโมชั่นแลกเปลี่ยนฐานลูกค้า ซึ่งจะทำให้ชลาชลสามารถขยายฐานลูกค้าระดับเอเพิ่มขึ้น และจะทำให้รายได้ปีนี้เพิ่มขึ้น 15% จากปีที่ผ่านมาเติบโต 20% มีรายได้ 120 ล้านบาท