รมว.คลัง ยืนยันไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางผลิตอาหารฮาลาลเพื่อผลิตให้กับทั่วโลกได้ โดยเฉพาะในส่วนของภาคใต้ในจังหวัดปัตตานี ซึ่งจะเป็นการลงทุนผลิตเนื้อสำเร็จรูปเพื่อการส่งออกในจังหวัดปัตตานี โดยคาดว่า น่าจะมีการลงทุนได้ประมาณปี 2549 และจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาลอย่างแท้จริง
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมสมาชิกหอการค้าและอุตสาหกรรมกลุ่มประเทศอิสลาม (โอไอซี) ครั้งที่ 4 ซึ่งประเทศไทย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพ โดยกล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้มีสมาชิกในกลุ่มโอไอซีถึง 57 ประเทศ โดยจะทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน รวมถึงความร่วมมือทุก ๆ ด้านของกลุ่มประเทศสมาชิกให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ทางกลุ่มสมาคมนักธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย-มุสลิม และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวมถึงโอไอซี มีความสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของภาคใต้ในจังหวัดปัตตานี ซึ่งจะเป็นการลงทุนผลิตเนื้อสำเร็จรูปเพื่อการส่งออกในจังหวัดปัตตานี โดยคาดว่า น่าจะมีการลงทุนได้ประมาณปี 2549 และจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาลอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ในระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 2548 จะมีการประชุมความร่วมมือในกลุ่มโอไอซี ของภาคเอกชนที่ประเทศบาห์เรน ก็จะมีการหยิบยกแผนการลงทุนในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งไทยด้วย ซึ่งทางโอไอซี ก็มีความสนใจที่จะเข้าลงทุนในภาคใต้ของไทยอย่างมาก อย่างไรก็ตาม มูลค่าการค้าอาหารฮาลาลทั่วโลก มีสูงถึง 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงมาก ขณะที่ไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางผลิตอาหารฮาลาลเพื่อผลิตให้กับทั่วโลกได้ และที่ผ่านมา ประเทศไทยถือเป็นครัวของโลกที่สามารถผลิตเพื่อป้อนให้แก่ตลาดโลกได้เช่นกัน
“เศรษฐกิจไทยขณะนี้ถือว่ามีความเข้มแข็ง เพราะสามารถเชื่อมเศรษฐกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าหากันได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้ อุตสาหกรรมของไทยในหลายประเภทมีความแข็งแกร่ง รวมไปจนถึงสินค้าภูมิปัญญาของไทย ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนจนสามารถส่งออกได้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มจะขยายตัวได้อีกมาก” นายสมคิด กล่าว
นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้การสนับสนุนการค้าทุกกลุ่ม ทั้งระดับความร่วมมือพหุภาคี หรือทวิภาคี ทำให้ในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 ซึ่งเป็นผลจากการผลักดันการส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ แม้ว่าในช่วงปลายปีจะมีปัญหาคลื่นยักษ์สึนามิ แต่หากดูตัวเลขภาคการส่งออก ถือว่าสามารถผลักดันการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุมโอไอซีในครั้งนี้ ไทยน่าจะได้ประโยชน์ เพราะกลุ่มประเทศที่มีความต้องการอาหารฮาลาลยังมีความต้องการพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาล
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง จนอาจกระทบต่อการส่งออกในปี 2548 โดยระบุว่า ความผันผวนดังกล่าวเกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลก แต่ผู้ส่งออกส่วนใหญ่มีการปรับแผนกลยุทธ์เกี่ยวกับค่าเงินบาทที่ผันผวนอยู่แล้ว และเป็นสิ่งที่น่าดีใจที่ประเทศไทยสามารถผลักดันการส่งออกในปี 2547 ให้เติบโตได้ถึงร้อยละ 20 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 97,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้ดุลการค้าถึงกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2548 แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์สึนามิ หรือความผันผวนของค่าเงิน หรือราคาน้ำมัน ก็ยังเชื่อว่าการส่งออกของไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 13-15 หรือคิดเป็นมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากความต้องการสินค้าไทยของประเทศคู่ค้ายังมีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแผนการประชาสัมพันธ์หรือการเจาะตลาดของไทยเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมสมาชิกหอการค้าและอุตสาหกรรมกลุ่มประเทศอิสลาม (โอไอซี) ครั้งที่ 4 ซึ่งประเทศไทย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพ โดยกล่าวว่า ในการประชุมครั้งนี้มีสมาชิกในกลุ่มโอไอซีถึง 57 ประเทศ โดยจะทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน รวมถึงความร่วมมือทุก ๆ ด้านของกลุ่มประเทศสมาชิกให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ทางกลุ่มสมาคมนักธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย-มุสลิม และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวมถึงโอไอซี มีความสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของภาคใต้ในจังหวัดปัตตานี ซึ่งจะเป็นการลงทุนผลิตเนื้อสำเร็จรูปเพื่อการส่งออกในจังหวัดปัตตานี โดยคาดว่า น่าจะมีการลงทุนได้ประมาณปี 2549 และจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาลอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ในระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 2548 จะมีการประชุมความร่วมมือในกลุ่มโอไอซี ของภาคเอกชนที่ประเทศบาห์เรน ก็จะมีการหยิบยกแผนการลงทุนในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งไทยด้วย ซึ่งทางโอไอซี ก็มีความสนใจที่จะเข้าลงทุนในภาคใต้ของไทยอย่างมาก อย่างไรก็ตาม มูลค่าการค้าอาหารฮาลาลทั่วโลก มีสูงถึง 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงมาก ขณะที่ไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางผลิตอาหารฮาลาลเพื่อผลิตให้กับทั่วโลกได้ และที่ผ่านมา ประเทศไทยถือเป็นครัวของโลกที่สามารถผลิตเพื่อป้อนให้แก่ตลาดโลกได้เช่นกัน
“เศรษฐกิจไทยขณะนี้ถือว่ามีความเข้มแข็ง เพราะสามารถเชื่อมเศรษฐกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าหากันได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้ อุตสาหกรรมของไทยในหลายประเภทมีความแข็งแกร่ง รวมไปจนถึงสินค้าภูมิปัญญาของไทย ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนจนสามารถส่งออกได้ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มจะขยายตัวได้อีกมาก” นายสมคิด กล่าว
นายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้การสนับสนุนการค้าทุกกลุ่ม ทั้งระดับความร่วมมือพหุภาคี หรือทวิภาคี ทำให้ในปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 ซึ่งเป็นผลจากการผลักดันการส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ แม้ว่าในช่วงปลายปีจะมีปัญหาคลื่นยักษ์สึนามิ แต่หากดูตัวเลขภาคการส่งออก ถือว่าสามารถผลักดันการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประชุมโอไอซีในครั้งนี้ ไทยน่าจะได้ประโยชน์ เพราะกลุ่มประเทศที่มีความต้องการอาหารฮาลาลยังมีความต้องการพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาล
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง จนอาจกระทบต่อการส่งออกในปี 2548 โดยระบุว่า ความผันผวนดังกล่าวเกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลก แต่ผู้ส่งออกส่วนใหญ่มีการปรับแผนกลยุทธ์เกี่ยวกับค่าเงินบาทที่ผันผวนอยู่แล้ว และเป็นสิ่งที่น่าดีใจที่ประเทศไทยสามารถผลักดันการส่งออกในปี 2547 ให้เติบโตได้ถึงร้อยละ 20 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 97,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้ดุลการค้าถึงกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2548 แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์สึนามิ หรือความผันผวนของค่าเงิน หรือราคาน้ำมัน ก็ยังเชื่อว่าการส่งออกของไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 13-15 หรือคิดเป็นมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากความต้องการสินค้าไทยของประเทศคู่ค้ายังมีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแผนการประชาสัมพันธ์หรือการเจาะตลาดของไทยเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน