ซีอาร์จีประกาศแผนทำตลาดปี 2548 บุกหนักกลุ่มธุรกิจอาหารว่าง หลังเห็นแววกลุ่มธุรกิจอาหารหนักอิ่มตัว เทงบ 150 ล้านบาทผุดสาขาใหม่ 26 แห่ง มองพื้นที่สแตนด์อะโลนเปิด ชี้ไม่ถูกจำกัดเวลาขายเหมือนในห้างฯ เพิ่มงบการตลาดเป็น 200 ล้านบาท กระตุ้นยอดขายรับน้ำมันดูดกำลังซื้อผู้บริโภค เร่งปั้นบาสกิ้น รอบบิ้นสู้คู่แข่ง คุยมิสเตอร์ โดนัทเบียดแชมป์เก่าร่วงขึ้นแท่นเบอร์1แทน
นายขจร ตรีสุโกศล ผู้ช่วยกรรมการบริหาร บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์กรุ๊ป จำกัด หรือซีอาร์จี ผู้บริหารธุรกิจอาหาร ไก่ทอด เคเอฟซี, พิซซ่า ฮัท, ร้านสเต็ก ฮันเตอร์, ร้านของว่าง มิสเตอร์ โดนัท, อานตี้ แอนส์ และร้านไอศกรีม บาสกิ้น รอบบิ้น เปิดเผยถึงแผนการทำตลาดในปีหน้าว่า กลุ่มธุรกิจร้านอาหารว่างจะมีอัตราการขยายตัวและแผนลงทุนเพิ่มเติมที่มากกว่ากลุ่มธุรกิจอาหารหนักอย่างเคเอฟซี หรือพิซซ่า ฮัท เนื่องจากธุรกิจอาหารหนักทั้ง 2 แบรนด์มีสาขาเป็นจำนวนมากแล้ว ถือว่าค่อนข้างอิ่มตัวในการขยายพื้นที่เพิ่มเติม
เบื้องต้นบริษัทตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจอาหารว่างเป็นหลัก อีกอย่างน้อย 26 สาขา คาดว่าจะใช้งบประมาณราว150 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีจำนวนสาขาที่ซีอาร์จีเป็นผู้บริหารเองรวมทั้งหมด 356 สาขา ประกอบด้วยเคเอฟซีมี 111 สาขา,พิซซ่า ฮัท 23 สาขา, มิสเตอร์ โดนัท137 สาขา,บาสกิ้น รอบบิ้น 39 สาขา อานตี้ แอนส์ 41 สาขา และสเต็ก ฮันเตอร์ 5 สาขา ซึ่งเป็นสาขาใหม่ที่เปิดเพิ่มขึ้นในปีนี้ 28 สาขา
แนวทางในการขยายสาขาของบริษัทให้กับกลุ่มธุรกิจอาหารว่าง จะเน้นเปิดสาขาสแตนด์อะโลนให้มากขึ้น จากเดิมที่สาขาสแตนด์อะโลนมีไม่ถึง10% ของจำนวนสาขาทั้งหมด เนื่องจากมองเห็นว่าสาขาสแตนด์อะโลนจะช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ได้มากกว่าการเปิดในศูนย์การค้าหรือดิสเคาน์สโตร์ อีกทั้ง การเปิดสแตนด์อะโลนยังไม่มีข้อจำกัดในด้านเวลาการเปิด-ปิดบริการ โดยจะเลือกทำเลที่มีศักยภาพ อย่างบาสกิ้น รอบบิ้นที่เปิดสาขาล่าสุดที่ศาลาแดง ถือว่าเป็นทำเลที่ดีมาก อยู่ใกล้สถานที่เที่ยวกลางคืน เป็นต้น
บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการทำตลาดให้กับทุกแบรนด์ โดยจะใช้งบการทำตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาท จากเดิมที่ใช้เพียง 120 -130 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กับกลุ่มธุรกิจอาหารว่างทั้ง 3 แบรนด์ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
ในขณะที่ปีหน้ายังมีปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงในเรื่อง ราคาน้ำมันที่ต้องปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างแน่นอน เพราะอาหารว่างถือว่าเป็นสินค้าที่ไม่จำเป็นนัก ทั้งนี้ บริษัทจะต้องหาแนวทางการในการเพิ่มยอดขายเพื่อลดต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ด้วยการออกนวัตกรรมให้กับสินค้าทุกแบรนด์ ปรับรูปแบบร้านให้แปลกใหม่อย่างมิสเตอร์ โดนัทจะทยอยปรับให้เป็นครัวเปิด หรือบาสกิ้น รอบบิ้นจะเปิดร้านแบบนั่งทานแทนการเปิดแบบคีออส
มิสเตอร์ฯเบียดคู่แข่งขึ้นเบอร์1
นายขจรกล่าวต่อว่า หลังจากมิสเตอร์ โดนัทออกเมนูพอน เดอ ริงเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายไตรมาส 3 มีอัตราการเติบโตถึง 100% และทำให้มิสเตอร์ โดนัทมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 60% จากเมื่อต้นปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่งตลาดเพียง40% เท่านั้น ซึ่งจะทำให้มิสเตอร์ โดนัทก้าวกระโดดขึ้นแท่นเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดรวมโดนัทมูลค่า1,000 ล้านบาท
ด้านบาสกิ้น รอบบิ้นในปีหน้าบริษัทจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์หนักกว่าแบรนด์อื่น เนื่องจากมิสเตอร์ โดนัทและอานตี้ แอนส์ถือว่าเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งแล้ว แต่บาสกิ้น รอบบิ้นยังห่างชั้นกับคู่แข่งมาก โดยปัจจุบันมีสาขารวมทั้งของซีอาร์จีและแฟรนไชส์ประมาณ 60 สาขา ถือว่ามีช่องว่างในการเติบโตได้อีกมาก ซึ่งหลังจากที่ซีอาร์จีเป็นผู้ถือหุ้นบาสกิ้น รอบบิ้น 100% แล้วทำให้มีแผนการทำตลาดที่ชัดเจน โดยวางแนวทางการเปิดสาขาใหม่จะต้องมีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า100 ตร.ม. จะต้องสามารถโชว์ไอศกรีมให้ได้32รสชาติ ซึ่งถือว่ามากกว่าคู่แข่ง หันมาให้ความสำคัญกับการขายไอศกรีมเค้กเพิ่มขึ้นด้วย
ผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ผ่านมากลุ่มอาหารมีอัตราการเติบโตสูงถึง 30.2% มีรายได้ 841.6 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ทั้งปีคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 18.7% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าทุกปีที่ผ่านมา หรือมีมูลค่า 2,324.4 ล้านบาท
นายขจร ตรีสุโกศล ผู้ช่วยกรรมการบริหาร บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์กรุ๊ป จำกัด หรือซีอาร์จี ผู้บริหารธุรกิจอาหาร ไก่ทอด เคเอฟซี, พิซซ่า ฮัท, ร้านสเต็ก ฮันเตอร์, ร้านของว่าง มิสเตอร์ โดนัท, อานตี้ แอนส์ และร้านไอศกรีม บาสกิ้น รอบบิ้น เปิดเผยถึงแผนการทำตลาดในปีหน้าว่า กลุ่มธุรกิจร้านอาหารว่างจะมีอัตราการขยายตัวและแผนลงทุนเพิ่มเติมที่มากกว่ากลุ่มธุรกิจอาหารหนักอย่างเคเอฟซี หรือพิซซ่า ฮัท เนื่องจากธุรกิจอาหารหนักทั้ง 2 แบรนด์มีสาขาเป็นจำนวนมากแล้ว ถือว่าค่อนข้างอิ่มตัวในการขยายพื้นที่เพิ่มเติม
เบื้องต้นบริษัทตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจอาหารว่างเป็นหลัก อีกอย่างน้อย 26 สาขา คาดว่าจะใช้งบประมาณราว150 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีจำนวนสาขาที่ซีอาร์จีเป็นผู้บริหารเองรวมทั้งหมด 356 สาขา ประกอบด้วยเคเอฟซีมี 111 สาขา,พิซซ่า ฮัท 23 สาขา, มิสเตอร์ โดนัท137 สาขา,บาสกิ้น รอบบิ้น 39 สาขา อานตี้ แอนส์ 41 สาขา และสเต็ก ฮันเตอร์ 5 สาขา ซึ่งเป็นสาขาใหม่ที่เปิดเพิ่มขึ้นในปีนี้ 28 สาขา
แนวทางในการขยายสาขาของบริษัทให้กับกลุ่มธุรกิจอาหารว่าง จะเน้นเปิดสาขาสแตนด์อะโลนให้มากขึ้น จากเดิมที่สาขาสแตนด์อะโลนมีไม่ถึง10% ของจำนวนสาขาทั้งหมด เนื่องจากมองเห็นว่าสาขาสแตนด์อะโลนจะช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ได้มากกว่าการเปิดในศูนย์การค้าหรือดิสเคาน์สโตร์ อีกทั้ง การเปิดสแตนด์อะโลนยังไม่มีข้อจำกัดในด้านเวลาการเปิด-ปิดบริการ โดยจะเลือกทำเลที่มีศักยภาพ อย่างบาสกิ้น รอบบิ้นที่เปิดสาขาล่าสุดที่ศาลาแดง ถือว่าเป็นทำเลที่ดีมาก อยู่ใกล้สถานที่เที่ยวกลางคืน เป็นต้น
บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการทำตลาดให้กับทุกแบรนด์ โดยจะใช้งบการทำตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาท จากเดิมที่ใช้เพียง 120 -130 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กับกลุ่มธุรกิจอาหารว่างทั้ง 3 แบรนด์ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
ในขณะที่ปีหน้ายังมีปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงในเรื่อง ราคาน้ำมันที่ต้องปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างแน่นอน เพราะอาหารว่างถือว่าเป็นสินค้าที่ไม่จำเป็นนัก ทั้งนี้ บริษัทจะต้องหาแนวทางการในการเพิ่มยอดขายเพื่อลดต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ด้วยการออกนวัตกรรมให้กับสินค้าทุกแบรนด์ ปรับรูปแบบร้านให้แปลกใหม่อย่างมิสเตอร์ โดนัทจะทยอยปรับให้เป็นครัวเปิด หรือบาสกิ้น รอบบิ้นจะเปิดร้านแบบนั่งทานแทนการเปิดแบบคีออส
มิสเตอร์ฯเบียดคู่แข่งขึ้นเบอร์1
นายขจรกล่าวต่อว่า หลังจากมิสเตอร์ โดนัทออกเมนูพอน เดอ ริงเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายไตรมาส 3 มีอัตราการเติบโตถึง 100% และทำให้มิสเตอร์ โดนัทมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 60% จากเมื่อต้นปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่งตลาดเพียง40% เท่านั้น ซึ่งจะทำให้มิสเตอร์ โดนัทก้าวกระโดดขึ้นแท่นเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดรวมโดนัทมูลค่า1,000 ล้านบาท
ด้านบาสกิ้น รอบบิ้นในปีหน้าบริษัทจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์หนักกว่าแบรนด์อื่น เนื่องจากมิสเตอร์ โดนัทและอานตี้ แอนส์ถือว่าเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งแล้ว แต่บาสกิ้น รอบบิ้นยังห่างชั้นกับคู่แข่งมาก โดยปัจจุบันมีสาขารวมทั้งของซีอาร์จีและแฟรนไชส์ประมาณ 60 สาขา ถือว่ามีช่องว่างในการเติบโตได้อีกมาก ซึ่งหลังจากที่ซีอาร์จีเป็นผู้ถือหุ้นบาสกิ้น รอบบิ้น 100% แล้วทำให้มีแผนการทำตลาดที่ชัดเจน โดยวางแนวทางการเปิดสาขาใหม่จะต้องมีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า100 ตร.ม. จะต้องสามารถโชว์ไอศกรีมให้ได้32รสชาติ ซึ่งถือว่ามากกว่าคู่แข่ง หันมาให้ความสำคัญกับการขายไอศกรีมเค้กเพิ่มขึ้นด้วย
ผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ผ่านมากลุ่มอาหารมีอัตราการเติบโตสูงถึง 30.2% มีรายได้ 841.6 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ทั้งปีคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตสูงถึง 18.7% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าทุกปีที่ผ่านมา หรือมีมูลค่า 2,324.4 ล้านบาท