ชลาชลติดเบรกแผนโกอินเตอร์ ชี้เหตุไทยเปิดเอฟทีเอ บิ้วตี้ ต่างชาติแห่บุกลงทุนในไทย ต้องเตรียมแผนรับมือ ล่าสุด ทุ่ม 100 ล้านบาทปรับโฉมสาขาเก่า ดึงระบบไอทีรักษาฐานลูกค้า
นายสมศักดิ์ ชลาชล ประธานกรรมการ บริษัท ชลาชล จำกัด ผู้บริหารร้านทำผม ชลาชล, ควิกคัท และบีเคเค ซาลอน เดอ แบงค็อก เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้ตัดสินใจชะลอแผนการนำแบรนด์ร้านทำผมที่มีอยู่ไปทำตลาดต่างประเทศก่อนชั่วคราว โดยก่อนหน้านี้เคยเตรียมที่จะนำร้าน บีเคเค ซาลอน เดอ แบงค็อกซึ่งมีสาขาอยู่ที่ดิ เอ็มโพเรี่ยมไปทำตลาดที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน แต่ตอนนี้ต้องพับแผนดังกล่าวไว้ก่อน
ทั้งนี้ เป็นเพราะการที่ประเทศไทยประกาศเปิดเขตเสรีการค้า ทำให้ภาพของประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดกว้างสำหรับนักลงทุนชาวต่างชาติ ในปีหน้ามั่นใจว่าจะมีแบรนด์เนมธุรกิจบิ้วตี้ ซาลอนจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดในไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญมากของกลุ่มชลาชล จึงต้องการที่จะสร้างแบรนด์ในไทยให้แข็งแกร่งรองรับการแข่งขันที่รุนแรงที่จะเกิดขึ้นก่อนการออกไปทำตลาดต่างประเทศ อีกทั้ง ระบบการทำงานในไทยของกลุ่มชลาชลที่ผ่านมายังไม่พร้อมสมบูรณ์
"เราคงไม่ทิ้งเป้าหมายที่จะทำตลาดต่างประเทศ แต่ต้องรอเวลาสักระยะให้สาขาในไทยเรียบร้อยก่อน ซึ่งหากจะทำตลาดต่างประเทศในอนาคต จะเริ่มต้นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"
สำหรับแผนการทำตลาดในไทยบริษัทเตรียมใช้งบลงทุนอีก 100 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสาขา ขยายสาขาใหม่ และเพิ่มระบบไอทีให้กับร้านชลาชล โดยแผนการปรับปรุงสาขาที่มีอยู่ในปัจจุบัน 8 สาขานั้นใช้งบสาขาละ 5 ล้านบาท ภายใต้แนวคิดฮิพ ซาลอน (Hip Salon) คาดว่าจะเสร็จภายในกลางปี 2548 แต่จะมีสาขาทองหล่อ ซึ่งเป็นสาขาสแตนด์อะโลนสาขาเดียวที่เปิดให้บริการ 3 ชั้น จะต้องใช้งบปรับปรุงใหม่ 10 ล้านบาท เพื่อแยกประเภทการบริการในแต่ละชั้นเป็นบริการประเภทเดียวกัน และจะทำให้กลุ่มลูกค้าชัดเจนมากขึ้น มีอายุ 25 - 35 ปี
ส่วนแผนการเปิดสาขาใหม่จะใช้งบลงทุนสาขาละ 6 ล้านบาท โดยปีนี้จะเปิดใหม่เพียง 1 สาขาที่อัมรินทร์ พลาซ่าในเดือนธ.ค.นี้ และในปีหน้าจะเปิดสาขาใหม่อีก 4 สาขา เน้นต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งจะเริ่มสาขาแรกที่จังซีลอน จังหวัดภูเก็ต
นอกจากนี้ ยังเตรียมนำระบบไอทีใหม่ที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านด้วยระบบสแกนนิ้วมือ พร้อมกับออกบัตรชลาชล สมาร์ท การ์ด คาดว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าเพิ่มอีก 7,000 คน จากเดิมที่มีอยู่ 20,000 คน
ผลประกอบการปีนี้คาดว่าจะเติบโต 20% เมื่อเทียบกับรายได้ปี 2546 ที่มีมูลค่า 120 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 4 นี้ ความถี่ที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการลดลง ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาราคาน้ำมันขึ้น ซึ่งแม้ว่าลูกค้าชลาชลจะเป็นกลุ่มบนแต่เรื่องดังกล่าวมีผลในเชิงจิตวิทยา