ไบเออร์ปรับเข็มทิศมุ่งเจาะตลาดสัตว์เลี้ยง หลังตลาดหลักปศุสัตว์ถูกคุมเข้มรับ กระแสฟู้ด เซฟตี้ ลดใช้ยาในสัตว์บริโภค พร้อมเจอหวัดนกฟาดหางทำยอดปีลิงหล่นวูบ ล่าสุด ชิมลางเปิดตัวยากำจัดปรสิตชนิดหยดในสุนัข “แอดเวนติกส์” ก่อนออกสินค้าใหม่อีก 3 รายการ ตั้งเป้าสิ้นปี 2549 คว้าแชมป์ผู้นำอันดับ 1
นายจีออร์จี โพลการ์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีนโยบายหันมาให้ความสำคัญกับการทำตลาดยาป้องกันโรคจากภายนอกของสัตว์เลี้ยงแทนตลาดปศุสัตว์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้สูงที่สุดให้กับบริษัทมีสัดส่วน 80% แบ่งเป็น กลุ่มสุกร และไก่ 70% และกลุ่มสัตว์น้ำ 10% ส่วนกลุ่มสัตว์เลี้ยงสร้างรายได้ 20% โดยในปีหน้าจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มนี้เพิ่มอีก 3 รายการเพื่อขยายสัดส่วนรายได้กลุ่มนี้
ปัจจัยที่ทำให้บริษัทต้องหันมาขยายตลาดสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เนื่องจากในปีหน้าประเทศไทยจะเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องอาหาร และประกาศเป็นปีอาหารปลอดภัยหรือฟู้ด เซฟตี้ ทำให้ขั้นตอนการเลี้ยงปศุสัตว์จะต้องลดการใช้ยาป้องกันโรคลง และจะต้องใช้ยาในภาวะจำเป็นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ตลาดยาป้องกันโรคของปศุสัตว์หดตัว
อีกทั้ง ในปีนี้บริษัทยังเจอสภาวะไข้หวัดนกที่ทำให้ประชากรไก่ลดลง จึงทำให้ยอดการใช้ยาลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ของบริษัทเป็นอย่างมาก และคาดว่าปีนี้รายได้จะลดลงเหลือ 230 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีรายได้เกือบ 240 ล้านบาท
ในขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากจำนวนประชากรสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็น สุนัขที่เพิ่มขึ้นจาก 3.5 ล้านตัวเป็น 7 ล้านตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หรือแมวที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เลี้ยงสัตว์จะหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคให้สัตว์เลี้ยงมากขึ้น
ล่าสุด เตรียมใช้งบการทำตลาด 2 ล้านบาท เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสัตว์เลี้ยง “แอดเวนติกซ์” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์กำจัดปรสิตภายนอกชนิดหยดสำหรับสุนัข โดยตลาดดังกล่าวรวมทั้งใช้กับสุนัขและแมวมีมูลค่า 50-60 ล้านบาท เป็นตลาดของสุนัข 80% เติบโต 10-15% ทั้งนี้ ตลาดผลิตภัณฑ์กำจัดปรสิตภายนอกทั้งชนิดอาบและหยดรวมทั้งใช้กับสุนัขและแมวในไทยมีมูลค่า 100 -120 ล้านบาท เติบโต 15-20% ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทมีแต่ชนิดอาบเท่านั้น และเป็นผู้นำในตลาดนี้ด้วยส่วนแบ่งตลาด 15-18%
ช่องทางจำหน่ายของแอดเวนติกซ์จะมีเฉพาะในคลีนิคสัตว์เลี้ยงเท่านั้น ไม่จำหน่ายในร้านขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงทั่วไป โดยตั้งเป้าปีแรกจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาด 10% ในสิ้นปี 2548 และตั้งเป้าที่จะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ภายในสิ้นปี 2549 ด้วยส่วนแบ่งตลาดไม่ต่ำกว่า 50-60% จากการชูจุดขายในการป้องกันเห็บ หมัด และยุง และความเป็นชนิดหยดที่ผู้เลี้ยงสุนัขไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับตัวยาเหมือนชนิดอาบ ซึ่งชนิดหยดจะมีราคาสูงกว่าชนิดอาบ 20-30%
นายจีออร์จี โพลการ์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีนโยบายหันมาให้ความสำคัญกับการทำตลาดยาป้องกันโรคจากภายนอกของสัตว์เลี้ยงแทนตลาดปศุสัตว์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้สูงที่สุดให้กับบริษัทมีสัดส่วน 80% แบ่งเป็น กลุ่มสุกร และไก่ 70% และกลุ่มสัตว์น้ำ 10% ส่วนกลุ่มสัตว์เลี้ยงสร้างรายได้ 20% โดยในปีหน้าจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มนี้เพิ่มอีก 3 รายการเพื่อขยายสัดส่วนรายได้กลุ่มนี้
ปัจจัยที่ทำให้บริษัทต้องหันมาขยายตลาดสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เนื่องจากในปีหน้าประเทศไทยจะเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องอาหาร และประกาศเป็นปีอาหารปลอดภัยหรือฟู้ด เซฟตี้ ทำให้ขั้นตอนการเลี้ยงปศุสัตว์จะต้องลดการใช้ยาป้องกันโรคลง และจะต้องใช้ยาในภาวะจำเป็นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ตลาดยาป้องกันโรคของปศุสัตว์หดตัว
อีกทั้ง ในปีนี้บริษัทยังเจอสภาวะไข้หวัดนกที่ทำให้ประชากรไก่ลดลง จึงทำให้ยอดการใช้ยาลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ของบริษัทเป็นอย่างมาก และคาดว่าปีนี้รายได้จะลดลงเหลือ 230 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีรายได้เกือบ 240 ล้านบาท
ในขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากจำนวนประชากรสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็น สุนัขที่เพิ่มขึ้นจาก 3.5 ล้านตัวเป็น 7 ล้านตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หรือแมวที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เลี้ยงสัตว์จะหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคให้สัตว์เลี้ยงมากขึ้น
ล่าสุด เตรียมใช้งบการทำตลาด 2 ล้านบาท เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสัตว์เลี้ยง “แอดเวนติกซ์” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์กำจัดปรสิตภายนอกชนิดหยดสำหรับสุนัข โดยตลาดดังกล่าวรวมทั้งใช้กับสุนัขและแมวมีมูลค่า 50-60 ล้านบาท เป็นตลาดของสุนัข 80% เติบโต 10-15% ทั้งนี้ ตลาดผลิตภัณฑ์กำจัดปรสิตภายนอกทั้งชนิดอาบและหยดรวมทั้งใช้กับสุนัขและแมวในไทยมีมูลค่า 100 -120 ล้านบาท เติบโต 15-20% ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทมีแต่ชนิดอาบเท่านั้น และเป็นผู้นำในตลาดนี้ด้วยส่วนแบ่งตลาด 15-18%
ช่องทางจำหน่ายของแอดเวนติกซ์จะมีเฉพาะในคลีนิคสัตว์เลี้ยงเท่านั้น ไม่จำหน่ายในร้านขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงทั่วไป โดยตั้งเป้าปีแรกจะมียอดขายประมาณ 10 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาด 10% ในสิ้นปี 2548 และตั้งเป้าที่จะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ภายในสิ้นปี 2549 ด้วยส่วนแบ่งตลาดไม่ต่ำกว่า 50-60% จากการชูจุดขายในการป้องกันเห็บ หมัด และยุง และความเป็นชนิดหยดที่ผู้เลี้ยงสุนัขไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับตัวยาเหมือนชนิดอาบ ซึ่งชนิดหยดจะมีราคาสูงกว่าชนิดอาบ 20-30%