รมว.กระทรวงเกษตรฯสั่งนำเข้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ เพื่อจัดสรรให้เกษตรกรในพื้นที่ส่งเสริมการผลิต พร้อมควบคุมปริมาณผลผลิตหอมหัวใหญ่ในประเทศให้อยู่ประมาณ 50,000 ตัน และเข้มงวดการนำเข้าหอมหัวใหญ่เถื่อนตามแนวชายแดนภาคเหนือ ยอมรับผลการค้าเสรีไทย-จีน ทำให้หอมหัวใหญ่ไทยเสียเปรียบจีนมาก
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ฤดูการผลิตปี 2547/48 ว่า ได้มอบหมายให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) นำเข้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่จำนวน 31,000 ตัน เพื่อนำมาจัดสรรให้กับสมาชิกสหกรณ์จำนวน 7 กลุ่ม ที่อยู่ในพื้นที่ส่งเสริมการผลิตตามแผนสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โดยมาตรการดังกล่าวจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการขึ้นทะเบียนผู้ปลูก เพื่อควบคุมปริมาณผลผลิตหอมหัวใหญ่ภายในประเทศให้อยู่ประมาณ 50,000 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหอมหัวใหญ่ที่เกษตรกรได้รับ แม้จะมีการนำเข้าหอมหัวใหญ่จากจีนก็ตาม
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เพื่อให้มาตรการดังกล่าวประสบความสำเร็จในทางปฏิบัติ กระทรวงเกษตรฯ จะประสานกับกรมศุลกากรเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่อย่างผิดกฎหมายในบริเวณพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ รวมทั้งได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรเร่งประชาสัมพันธ์และชี้แจงกับเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่เดิมที่อยู่นอกเขตการผลิตเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาด เช่น ข้าวโพดหวาน ผักสลัดเมืองหนาวทดแทน เพื่อลดปัญหาปริมาณผลผลิตหอมหัวใหญ่ล้นตลาด และพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรไทยเพื่อรองรับการเปิดเสรีการค้า (เอฟทีเอ) ระหว่างไทย-จีนด้วย
“หอมหัวใหญ่เป็นพืชในอันดับต้นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเอฟทีเอไทย-จีน เนื่องจากการปลูกหอมหัวใหญ่ของไทยให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ แต่ต้นทุนการผลิตสูง ทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาหอมหัวใหญ่จากจีนได้ กระทรวงเกษตรฯ จึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการปลูกพืชชนิดอื่นที่เป็นที่ต้องการของตลาดทดแทน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกร ส่วนพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกหอมหัวใหญ่ กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิต พัฒนาคุณภาพและปริมาณผลผลิตให้สามารถแข่งขันกับหอมหัวใหญ่จากต่างประเทศได้ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าหอมหัวใหญ่จากต่างประเทศ” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ฤดูการผลิตปี 2547/48 ว่า ได้มอบหมายให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) นำเข้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่จำนวน 31,000 ตัน เพื่อนำมาจัดสรรให้กับสมาชิกสหกรณ์จำนวน 7 กลุ่ม ที่อยู่ในพื้นที่ส่งเสริมการผลิตตามแผนสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โดยมาตรการดังกล่าวจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการขึ้นทะเบียนผู้ปลูก เพื่อควบคุมปริมาณผลผลิตหอมหัวใหญ่ภายในประเทศให้อยู่ประมาณ 50,000 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหอมหัวใหญ่ที่เกษตรกรได้รับ แม้จะมีการนำเข้าหอมหัวใหญ่จากจีนก็ตาม
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เพื่อให้มาตรการดังกล่าวประสบความสำเร็จในทางปฏิบัติ กระทรวงเกษตรฯ จะประสานกับกรมศุลกากรเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าหอมหัวใหญ่อย่างผิดกฎหมายในบริเวณพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ รวมทั้งได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรเร่งประชาสัมพันธ์และชี้แจงกับเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่เดิมที่อยู่นอกเขตการผลิตเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาด เช่น ข้าวโพดหวาน ผักสลัดเมืองหนาวทดแทน เพื่อลดปัญหาปริมาณผลผลิตหอมหัวใหญ่ล้นตลาด และพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรไทยเพื่อรองรับการเปิดเสรีการค้า (เอฟทีเอ) ระหว่างไทย-จีนด้วย
“หอมหัวใหญ่เป็นพืชในอันดับต้นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเอฟทีเอไทย-จีน เนื่องจากการปลูกหอมหัวใหญ่ของไทยให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ แต่ต้นทุนการผลิตสูง ทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาหอมหัวใหญ่จากจีนได้ กระทรวงเกษตรฯ จึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการปลูกพืชชนิดอื่นที่เป็นที่ต้องการของตลาดทดแทน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกร ส่วนพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกหอมหัวใหญ่ กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิต พัฒนาคุณภาพและปริมาณผลผลิตให้สามารถแข่งขันกับหอมหัวใหญ่จากต่างประเทศได้ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าหอมหัวใหญ่จากต่างประเทศ” นายสมศักดิ์ กล่าว