กัมพูชาและไทยลงนามในข้อตกลงหยุดยิงรอบใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายยุติวงจรการสู้รบนองเลือดตามแนวชายแดนที่ลากยาวมานานเกือบ 3 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามทางสเตรทไทม์ส สื่อมวลชนสิงคโปร์ ชี้ว่าสืบเนื่องจากไม่มีความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นอย่างมาก ยังคงจำเป็นต้องดูว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยึดถือข้อตกลงหรือไม่
รายงานของสเตรทไทม์ส ระบุว่าข้อตกลงหยุดยิงที่ลงนามโดย เตีย เซ็ยฮา รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา และพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีกลาโหมของไทย มีผลบังคับใช้ในตอนเที่ยงวันของวันเสาร์(27ธ.ค.)
ข้อตกลงนี้กำหนดให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องไม่ยิงอาวุธใดๆ จะไม่มีความเคลื่อนไหวหรือเสริมกำลังตามแนวชายแดน และถ้าข้อตกลงได้รับการยึดถือ ไทยเผยว่าจะยอมปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 คน ที่ควบคุมตัวไว้ตั้งแต่เดือนกรกฏาคม ตามหลังเหตุปะทะตามแนวชายแดนก่อนหน้านี้ ที่กินเวลา 5 วัน
สเตรทไทม์ส รายงานต่อว่าประเด็นส่งตัวทหารกลับประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องหลักของกัมพูชา เห็นพ้องกันตั้งแต่ระหว่างการลงนามในข้อตกลงสันติภภาพที่มีสหรัฐฯเป็นสักขีพยานในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อเดือนตุลาคม แต่แผนดังกล่าวต้องพับไป หลังจากไทยระงับข้อตกลงสันติภาพในเดือนพฤศจิกายน จากคำกล่าวหากัมพูชาลอบวางกับระเบิดใหม่ ที่ส่งผลให้ทหารไทยหลายนายต้องพิการ
การสู้รบรอบใหม่โหมกระพือขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม โดยต่างฝ่ายต่างกล่าวโทษอีกฝ่ายว่าเป็นคนยิงก่อน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 101 รายและอีกกว่า 1 ล้านคนต้องพลัดถิ่นฐาน ในทั้ง 2 ปากฝั่ง ท่ามกลางสงครามที่ลากยาวกว่า 20 วัน แม้ตัวเลขอย่างเป็นทางการของไทย เป็นการนับรวมพลเรือนที่เสียชีวิตทางอ้อมจากความขัดแย้ง ส่วนกัมพูชาไม่เปิดเผยยอดความสูญเสียด้านการทหารใดๆ
ภายใต้ข้อตกลงล่าสุด กัมพูชายังเห็นพ้องตามข้อเรียกร้องหลักของไทย คือกลับมาปฏิบัติการเก็บทุ่นระเบิดและร่วมมือกันเล็งเป้าจัดการพวกสแกมออนไลน์และการค้ามนุษย์ โดยที่คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน(AOT) จะรับหน้าที่เป็นผู้จับตาการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิง
สื่อมวลชนของสิงคโปร์ ชี้ว่าต่างจากที่ผ่านมา คราวนี้ จีน เข้ามารับบทบาทคนกลางที่ชัดเจนระหว่างกัมพูชาและไทย ส่ง เติ้ง ซีจวิน ทูตพิเศษด้านกิจการเอเชียของกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนทั้ง 2 ประเทศ ระหว่างวันที่ 18 ถึง 23 ธันวาคม ในสิ่งที่ทางปักกิ่งให้คำจำกัดความว่าเป็น "การทูตแบบไปกลับ"
ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา มีบ่อเกิดจากประเด็นพิพาทเกี่วกับแนวเขตแดนที่กำหนดไว้อย่างหยาบๆ ก่อความขัดแย้งปะทุเป็นช่วงๆตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
ทั้ง 2 ประเทศกล่าวหากันเป็นปกติว่าอีกฝ่ายเป็นคนยิงก่อน ขณะเดียวกันก็ใช้การป้องกันตนเองเป็นข้ออ้างความชอบธรรมสำหรับการตอบโต้
อย่างไรก็ตามสเตรทไทม์สอ้างพวกนักวิเคราะห์ระบุว่าความเหนือกว่าอย่างท่วมท้นของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านแสนยานุภาพทางอากาศ ซึ่งบ่อยครั้งมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการทิ้งบอมบ์ทางอากาศถล่มเขตล้อมรั้วคาสิโน สะพานและหมู่บ้าน เช่นเดียวกับรื้อโค่นรูปปั้นฮินดู ทำให้เป็นเรื่องยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆในการอ้างความชอบธรรม แม้เหล่านั้นจะเป็นเป้าหมายทางทหารที่ชอบธรรมตามคำกล่าวอ้างของไทยก็ตาม
"สำหรับมุมมองคนภายนอกแล้ว คุณก็รู้ คุณเห็นกัมพูชาเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิง ในขณะที่ฝ่ายไทยเอาแต่ทิ้งบอมบ์ใส่พวกเขา ในระดับที่ไม่สมส่วนกัน ฉันสงสัยว่า มันอาจทำให้ไทยดูไม่ดีนัก ในสายตานานาชาติ" ทิตา แสงลี (Tita Sanglee) นักวิชาการสมทบสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute)
"ต้นทุนของการเดินหน้าสู่รบมีมากกว่าประโยชน์ จากมุมมองของทหารไทย" ทิตา แสงลี อ้างถงต้นทุนทางทหาร ทางเศรษฐกิจและการทูตของความขัดแย้งจนถึงตอนนี้ "พวกเขากำไรทางยุทธวิธีที่ยอมรับได้ พวกเขายึดครองที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ต่างๆตามแนวชายแดน"
ในเรื่องนี้ รายงานของสเตรทไทม์ส อ้างคำกล่าวของว่าพลเอกณัฐพล ที่ยอมรับว่า "ปัจจัยอื่นๆ" อย่างเช่นเศรษฐกิจของประเทศและภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยที่นำมาสู่การตัดสินใจหยุดการสู้รบที่ยืดเยื้อ
อย่างไรก็ตามสเตรทไทม์สชี้ว่าข้อตกลงหยุดยิงนั้นมีความเปราะบางอย่างมาก เนื่องจากพลเอกณัฐพล เน้นย้ำว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันในระดับสูง และบอกว่าข้อตกลงหยุดยิงเบื้องต้น 3 วัน จะเป็นบททดสอบที่พิสูจน์ความจริงใจของอีกฝ่าย
"มันไม่ได้เกิดจากความไว้ใจ หรือยอมรับโดยไม่มีไม่มีเงื่อนไข แต่กรอบเวลาดังกล่าวจะเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรม ว่ากัมพูชาจะหยุดใช้อาวุธ หยุดยั่วยุและหยุดคุกคามพื้นที่อย่างแท้จริง" เขากล่าว ตามรายงานของสเตรทไทม์ส
(ที่มา:สเตรทไทม์ส)


