xs
xsm
sm
md
lg

จับตายุทธศาสตร์ความมั่นคงฉบับใหม่ของ‘ทรัมป์’ ยอมรับฐานะของจีน-ให้ปักกิ่งสามารถหายใจคล่องขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อิมรอน คอลิด


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ สนทนากับประธานาธิบีสี จิ้นผิง ของจีน ขณะผู้นำทั้งสองจับมือกันภายหลังการเจรจากันที่เมืองปูซาน, เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2025
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/12/a-velvet-reset-trumps-new-strategy-hands-china-breathing-space/)

A velvet reset: Trump’s new strategy hands China breathing space
by Imran Khalid
13/12/2025

ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ล่าสุดของ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช้ท่าทีมองจีนเป็นศัตรูตัวฉกาจอีกต่อไป และคาดหมายได้ว่าปักกิ่งจะตอบสนองด้วยการส่งข้อความอันแข็งขันอย่างเงียบๆ ว่า จีนที่มั่งคั่งและมีเสถียรภาพนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะสร้างภัยคุกคามใดๆ ให้แก่ผลประโยชน์ของอเมริกัน

ตลอดระยะเวลาหลายๆ ปีที่ผ่านมา วอชิงตันป่าวร้องให้ร้ายประเทศจีนมาโดยตลอดว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจอย่างชัดเจนของยุคสมัยที่ควรจะเป็นศตวรรษแห่งอเมริกัน อย่างไรก็ดี เอกสาร “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ” (National Security Strategy) ของสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาวนำออกเผยแพร่ในวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ละทิ้งการตั้งท่าทางแสดงท่าทีเช่นนี้ไปอย่างเงียบๆ เอกสารฉบับนี้ซึ่งมีความยาวเพียง 33 หน้า มีการกล่าวอ้างอิงถึงจีนอย่างจำกัดเพียงเท่าที่จำเป็น และไม่ได้กล่าวถึงจีนในความหมายว่าเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงคงอยู่ของสหรัฐฯประการหนึ่งเลย ตรงกันข้าม กลับปฏิบัติต่อปักกิ่งในฐานะที่เป็นมหาอำนาจใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งสหรัฐฯจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงในลักษณะ “ต่างตอบแทนและมีความเป็นธรรม” ในทางการค้า

การเปลี่ยนแปลงคราวนี้เกิดขึ้นโดยผ่านการไตร่ตรองพิจารณา และจากทัศนะมุมมองของฝ่ายจีน มันเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว หลังจากช่วงเวลา 1 ทศวรรษของการถูกวาดภาพว่าเป็นผู้ร้ายในเอกสารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ฉบับแล้วฉบับเล่า และพวกเอกสารยุทธศาสตร์ในยุคคณะบริหารโจ ไบเดน ก็ตีตราประทับให้ประเทศจีนว่า เป็น “ภัยคุกคามที่ทำให้ต้องเร่งปรับตัวเพื่อคอยรับมือ” (pacing challenge) และ “เป็นศัตรูเชิงระบบ” (systemic rival) ปักกิ่งเวลานี้ได้พบว่าตนเองถูกพูดถึงด้วยถ้อยคำภาษาซึ่งให้ความสำคัญลำดับต้นๆ กับเรื่องการที่สหรัฐฯจะต้องสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจกับจีนขึ้นมาใหม่ ยิ่งกว่าเรื่องการเผชิญหน้ากันในเชิงความคิดอุดมการณ์

เรื่องนี้ในส่วนของวอชิงตันแล้ว มันไม่ได้เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความอ่อนแอ แต่เป็นการยอมรับความเป็นจริงซึ่งบังเกิดขึ้นจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรงกับการเผชิญหน้ากันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และจากการยอมรับว่าการใช้มาตรการภาษีศุลกากรตลอดจนการสั่งแบนทางเทคโนโลยีทั้งหลาย ได้สร้างความบาดเจ็บเสียหายให้แก่บรรดาเกษตรกร ,โรงงานอุตสาหกรรมการผลิต, และผู้บริโภคชาวอเมริกัน พอๆ กับที่เกิดขึ้นกับพวกผู้ส่งออกชาวจีน ทั้งนี้ ทางฝ่ายปักกิ่งน่าจะมีความฉลาดหลักแหลมเพียงพอที่จะยอมรับท่าทีอ่อนข้อให้เช่นนี้โดยดุษณี รวมทั้งขยายการเปิดกว้างออกไปอีก ก่อนที่การเมืองภายในประเทศไม่ว่าจะในนครหลวงของสหรัฐฯหรือในนครหลวงของจีนเอง จะทำให้เกิดการหมุนกลับของเส้นทางเดินขึ้นมาอีก

หลักฐานของการเปลี่ยนแปลงเช่นที่ว่ามานี้ อันที่จริงได้ถูกบรรจุอยู่ภายในข้อตกลงต่างๆ ระหว่างสองฝ่าย ตั้งแต่ก่อนหน้าที่เอกสารฉบับนี้จะถูกนำออกเผยแพร่ด้วยซ้ำ ในเมืองปูซาน, เกาหลีใต้ เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ กับ สี จิ้นผิง ได้เจรจาหารือกันนั้น ได้มีการตกลงให้ระงับใช้พวกมาตรการภาษีศุลกากรและการควบคุมการส่งออกส่วนซึ่งสามารถสร้างความเสียหายหนักหน่วงที่สุดเอาไว้ก่อน ฝ่ายจีนยินยอมเลื่อนการใช้มาตรการจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธของตน, ให้คำมั่นที่จะสั่งซื้อถั่วเหลืองเป็นจำนวนมหึมาไปจนตลอดถึงปี 2028, รวมทั้งเปิดความร่วมมือใหม่ในภาคส่วนที่ไม่มีปัญหาอ่อนไหว ส่วนฝ่ายสหรัฐฯก็ตอบแทนด้วยการตัดลดภาษีศุลกากรส่วนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเฟนตานิล และขยายการลดหย่อนยกเว้นภาษีที่เก็บจากผลิตภัณฑ์จีนหลายร้อยรายการออกไปจนถึงปี 2026

รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สกอตต์ เบนเซนต์ (Scott Bessent) สถาปนิกผู้ออกแบบน้ำเสียงของความสัมพันธ์ระหว่างกันที่อ่อนโยนลงมาเช่นนี้ ได้ชะลอการเผยแพร่เอกสารยุทธศาสตร์ฉบับนี้เอาไว้ก่อน จวบจนกระทั่งเมื่อมีหลักประกันว่าสามารถทำข้อตกลงต่างๆ เหล่านี้ได้แน่นอนแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ มันเป็นเอกสารที่ให้น้ำหนักความสำคัญกับ “ผลประโยชน์ต่างๆ ที่มีอยู่ร่วมกัน” ในทางการค้า เหนือความเป็นปรปักษ์กันทางการทหาร พวกนักการทูตชาวจีนในเวลาพูดจากันเป็นการภายในได้กล่าวถึงผลลัพธ์ที่ออกมาครั้งนี้ว่า เป็นคำแถลงทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายอเมริกันที่ดีที่สุดในรอบระยะเวลา 15 ปี

กระทั่งเรื่องไต้หวัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ปักกิ่งแสดงความกังวลห่วงใยมากที่สุด ก็ยังได้รับการจัดการในลักษณะผ่อนปรนคลายความตึงเครียดอย่างผิดธรรมดา ทั้งนี้เอกสารยุทธศาสตร์ฉบับนี้ได้ระบุว่า “การป้องปรามความขัดแย้งเรื่องไต้หวัน” ถือเป็นเรื่องที่มีลำดับความสำคัญสูงสุดเรื่องหนึ่ง แต่ก็ระบุต่อในทันทีว่า เป้าหมายของเรื่องนี้ “โดยอุดมคติแล้วควรกระทำให้บรรลุผลด้วยการรักษาความเหนือกว่าทางทหาร (ของสหรัฐฯ) เอาไว้” การใช้คำว่า “โดยอุดมคติ” ในที่นี่ถือว่ามีความสำคัญ เพราะมันเป็นการส่งสัญญาณว่า วอชิงตันปรารถนามากกว่าที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงคราม และมีความปรารถนาที่จะพึ่งพาอาศัยความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และการเข้ามาช่วยแบ่งปันแบกรับภาระของเหล่าชาติพันธมิตร มากกว่าด้วยการกระตุ้นยั่วยุโดยตรง

สำหรับรัฐบัญญัติการปฏิบัติเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ไต้หวัน (Taiwan Assurance Implementation Act) ซึ่งผ่านการพิจารณาของรัฐสภาสหรัฐฯและลงนามประกาศใช้โดยประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงจังหวะเวลาเดียวกันนี้ ถึงแม้หากพิจารณาจากตัวบท อาจแลดูเหมือนกับว่าสหรัฐฯกำลังใช้ท่าทีซึ่งแข็งกร้าวยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทว่าเนื้อหาจริงๆ ของกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มีเรื่องการขายอาวุธใหม่ๆ ให้ไต้หวัน และเพียงแค่เรียกร้องให้รัฐสภาต้องจัดการประชุมทบทวนปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ที่มีอยู่แล้วกับไต้หวันในปัจจุบันเท่านั้น ส่วนการที่ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ของไต้หวัน ให้คำมั่นที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมสูงขึ้นจนถึงระดับเท่ากับ 5% ของจีดีพีภายในปี 2030 ถึงแม้ได้รับการต้อนรับอย่างชื่นชมจากพวกสายเหยี่ยวต่อต้านจีนในวอชิงตัน แต่เวลาเดียวกันนั้นมันก็ทำให้ปักกิ่งมองเห็นตารางเวลาที่สามารถทำนายคาดการณ์ล่วงหน้า และขจัดความระแวงข้องใจที่ว่าสหรัฐฯจะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดรุนแรงขึ้นมาอย่างฉับพลันไม่รู้เนื้อรู้ตัวลงไปได้

สำหรับพวกมหาอำนาจระดับกลางๆ ในเอเชีย แบบแผนวิธีการใหม่เช่นนี้ก็ทำให้มีช่องทางพักหายใจได้เพิ่มมากขึ้นเหมือนกัน สิงคโปร์กับฮ่องกง ซึ่งมีความกังวลใจมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับเรื่องที่จะถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจเลือกข้าง เวลานี้ย่อมประสบกับแรงบีบคั้นเฉพาะหน้าลดน้อยลง ยุทธศาสตร์ใหม่ฉบับนี้พูดถึง การที่พวกชาติพันธมิตรสมควรจะต้องให้สหรัฐฯสามารถ “เข้าถึงท่าเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้อย่างมากมายมหาศาลยิ่งกว่าเดิม” ทว่ามันก็ผูกพันการเข้าถึงดังกล่าวนี้กับเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทนทางเศรษฐกิจ มากกว่าเรื่องของการจับมือเป็นพันธมิตรในเชิงอุดมการณ์

บทบาทของสิงคโปร์ในฐานะที่เป็นเมืองท่าศูนย์กลางการค้าซึ่งมีความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ชาติใด จะได้รับการรักษาเอาไว้ได้โดยปริยาย ขณะที่ฐานะของฮ่องกงในการเป็นสะพานเชื่อมทางการเงิน ซึ่งได้เคยถูกโจมตีเล่นงานหนักจากมาตรการแซงก์ชั่นต่างๆ ของอเมริกา ก่อนหน้านี้ ก็อาจจะกลับเข้าสู่ภาวะมั่นคงมากขึ้น ถ้าหากสามารถรักษาเสถียรภาพทางด้านภาษีศุลกากรเอาไว้ได้ ทางการด้านลงทุนของจีนผ่านแผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ก็สามารถหลั่งไหลเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไปโดยปราศจากการถูกคุกคามจากความหวั่นเกรงอยู่เรื่อยๆ ที่ว่าอเมริกาจะประกาศดำเนินมาตรการตอบโต้ ทั้งนี้พวกระบบเศรษฐกิจของชาติอาเซียน ซึ่งถือเป็นกลุ่มประเทศที่เป็นหุ้นส่วนทางการค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนอยู่แล้วในปัจจุบัน มีโอกาสสูงที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากช่วงระยะเวลาแห่งความตึงเครียดที่ลดน้อยลงซึ่งยืนยาวต่อไปเรื่อยๆ ภูมิภาคนี้จะได้รับเวลาสำหรับการบูรณาการแบบหยั่งลึกยิ่งขึ้นอีกบนเงื่อนไขต่างๆ ของตนเอง

แน่นอนทีเดียว ปักกิ่งจะยังคงแสดงท่าทีระแวดระวังตัวต่อไป สหรัฐฯนั้นยังคงมีแผนการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กองกำลังต่างๆ ตามแนวห่วงโซ่เกาะชั้นแรก (First Island Chain) รวมทั้งจะกดดันญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, และออสเตรเลียให้ใช้จ่ายด้านกลาโหมเพิ่มมากขึ้นอีก การเล่นเกมประลองสงครามจำลอง ยังคงตอกย้ำให้เห็นถึงจุดอ่อนต่างๆ ของอเมริกันในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินในไต้หวัน (Taiwan contingency พวกนักวิเคราะห์ตะวันตกใช้วลีนี้โดยมุ่งหมายถึง ภาวะฉุกเฉินซึ่งเกิดขึ้นจากการที่จีนตัดสินใจยกกำลังบุกเข้ายึดคืนไต้หวัน -ผู้แปล) ซึ่งนี่เองเป็นสิ่งที่อธิบายว่าทำไมทรัมป์จึงตัดสินใจเลือกการมีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน มากกว่าการแสดงความฮึกเหิมทางการทหาร

อเมริกาที่มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยขึ้น ด้วยปัจจัยหนุนส่งจากการฟื้นฟูการค้ากับจีน ย่อมสามารถที่จะปรับปรุงกองทัพของตนเองให้ทันสมัยโดยไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในภาวะล้มละลาย ในทางตรงกันข้าม การปลุกปั่นยั่วยุจีน อาจจะกลายเป็นการเร่งรัดให้เกิดการสู้รบขัดแย้งชนิดที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าต้องการที่จะหลีกเลี่ยง

เอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้ไม่ใช่เป็นจดหมายรัก แต่ก็เป็นสิ่งใกล้เคียงที่สุดกับข้อเสนอทำความตกลงสงบศึกกัน ซึ่งจีนเพิ่งได้รับจากวอชิงตันในรอบระยะเวลา 1 ชั่วอายุคนที่ผ่านมา มันลดระดับการแข่งขันชิงชัยกันระหว่างมหาอำนาจใหญ่, เพิ่มพูนขยายการค้า, และลดระดับพันธะผูกพันเรื่องไต้หวันลงมาเหลือแค่การป้องปรามไม่ใช่การมุ่งเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองที่นั่น

พวกผู้นำจีนใช้เวลานานปีในการป่าวร้องแสดงเหตุผลว่า สหรัฐฯเอาแต่มุ่งแสวงหาทางปิดล้อมควบคุมการก้าวผงาดขึ้นมาของแดนมังกร เอกสารฉบับนี้สามารถส่งผลในทางบ่อนทำลายเรื่องเล่าแนวนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าความพยายามทางการทูตปริมาณมากมายใดๆ สามารถกระทำได้ เป็นที่คาดหมายกันว่าปักกิ่งจะตอบสนองด้วยการถนอมรักษาผลบวกต่างๆในทางการค้าเอาไว้, ขยายความร่วมมือในเรื่องพลังงานสะอาด, การจัดทำมาตรฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ และโครงสร้างพื้นฐานดิจิตอล, และเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างเงียบๆ ให้แก่การส่งข้อความออกมาว่า จีนที่มั่งคั่งและมีเสถียรภาพนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะสร้างภัยคุกคามใดๆ ให้แก่ผลประโยชน์ของอเมริกัน

อิบรอน คอลิด เป็นนักวิเคราะห์ทางด้านภูมิยุทธศาสตร์ และเป็นคอลัมนิสต์ที่เขียนเรื่องทางด้านกิจการระหว่างประเทศ โดยตั้งฐานอยู่ที่นครการาจี, ปากีสถาน
กำลังโหลดความคิดเห็น