(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/12/china-aims-for-twin-track-use-of-nvidia-h200-amid-back-door-fears/)
China aims for twin-track use of Nvidia H200 amid back door fears
by Jeff Pao
13/12/2025
เมื่อทรัมป์เปิดทางให้จีนสามารถเข้าถึงชิป H200 ของอินวิเดียได้จริงๆ ปักกิ่งก็ปรับท่าทีจากที่เคยคัดค้านไม่เล่นด้วย มาเป็นการใช้ยุทธศาสตร์ปล่อยให้กิจการเอไอแดนมังกรซื้อหาไปพัฒนางานวิจัยสำคัญเฉพาะหน้า ขณะเดียวกับที่เร่งรัดการติดตามตรวจสอบผลกระทบด้านความมั่นคง
ปักกิ่งดูเหมือนกำลังผ่อนปรนจุดยืนของตนในเรื่องชิปหน่วยประมวลผลกราฟฟิกส์ (graphics processing units (GPUs) รุ่น H200 ของบริษัทอินวิเดีย (Nvidia) ให้อ่อนลงมา โดยที่ทั้งพวกผู้วางนโยบายและพวกนักวิจารณ์ให้ความเห็นผ่านสื่อ (คอมเมนเตเตอร์) ชาวจีน ต่างกำลังปรับเปลี่ยนโฟกัสของพวกเขาจากการปฏิเสธไม่ยอมรับชิปต่างประเทศนี้อย่างสิ้นเชิง มาเป็นคำถามในเชิงปฏิบัติว่าจะใช้วิธีการอย่างไรดีในการตรวจสอบดูแลการใช้ชิปตัวนี้
เมื่อตอนที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน [1] ในวันที่ 21 พฤศจิกายนว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯกำลังพิจารณาที่จะอนุญาตให้ส่งออก H200 มายังประเทศจีน พวกคอมเมนเตเตอร์ชาวจีนต่างกล่าวเตือนว่า ชิปปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ตัวนี้อาจจะเป็น “กระสุนเคลือบน้ำตาล” สำหรับให้ อินวิเดีย เข้ายึดที่มั่นเพื่อสร้างฐานะครอบงำเหนือตลาดแดนมังกร ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะชะลอการพัฒนาของภาคการผลิตชิปของจีนในระยะยาว
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้พูดจากันทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน จากนั้นอีก 10 วันทำการต่อมา คือในวันที่ 8 ธันวาคม ทรัมป์ก็ได้ประกาศทางข้อความที่โพสต์บนโซเชียลมีเดีย [2] ว่า สหรัฐฯจะอนุญาตให้ อินวิเดีย ส่งผลิตภัณฑ์ H200 ของบริษัทมายังจีน ภายใต้ “เงื่อนไขที่จะต้องเปิดทางให้แก่การรักษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯอย่างแข็งขันต่อไป”
ทรัมป์เน้นย้ำว่าเขาได้แจ้งให้ สี ทราบเรื่องนี้แล้ว และพูดต่อไปว่า “สี ตอบสนองในทางบวก” เขายังใช้โอกาสนี้มาวิพากษ์วิจารณ์วิธีการของประมุขสหรัฐฯผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าเขา
“คณะบริหารไบเดนได้บีบบังคับให้พวกบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของเรา ใช้จ่ายเงินทองหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ “ต่ำชั้นลงมา” ซึ่งไม่มีใครต้องการ มันเป็นไอเดียแย่มากๆ ที่ชะลอนวัตกรรม และสร้างความเสียหายให้แก่บรรดาคนงานชาวอเมริกัน” เขาบอก “ยุคสมัยเช่นนั้นสิ้นสุดลงแล้ว! เราจะพิทักษ์ปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ, สร้างตำแหน่งงานสำหรับชาวอเมริกัน, และประคับประคองฐานะการเป็นผู้นำของอเมริกาในด้านเอไอ เอาไว้”
พวกผลิตภัณฑ์ต่ำชั้นลงมา ที่เขาพูดถึงนี้ เชื่อกันว่าหมายถึงชิปรุ่น H20 ของอินวิเดีย และชิปรุ่น M1308 ของเอเอ็มดี
สำหรับทางฝ่ายจีน เมื่อถูกถามว่าปักกิ่งจะอนุญาตให้บรรดากิจการของจีนซื้อหาชิป H200 ของอินวิเดียหรือไม่ กัว เจียคุน (Guo Jiakun) โฆษกผู้หนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้กล่าวตอบระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนตามปกติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมว่า “จีนสนับสนุนเสมอมา ให้จีนกับสหรัฐฯบรรลุถึงสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ด้วยการร่วมไม้ร่วมมือกัน”
คอมเมนเตเตอร์ชาวจีนบางรายเสนอแนะกรอบโครงของสิ่งที่เรียกกันว่า “เส้นทางคู่ขนาน” หรือ แบบแผนวิธี“การเดินด้วยสองขา” (“walk on two legs” approach) [3] ในกรอบโครงที่ว่านี้ พวกกิจการของจีนสามารถใช้ชิป H 200 เพื่อการเทรนนิ่งโมเดลเอไอ ซึ่งเป็นภารกิจที่จำเป็นต้องใช้พวกชิปประมวลผลที่สามารถทำงานด้วยพลังการคำนวณสูงๆ มาประมวลผลชุดข้อมูลที่กว้างขวาง และทำการปรับพารามิเตอร์ต่างๆ ของโมเดล
ในทันทีที่โมเดลนั้นๆ สามารถที่จะนำมาใช้งานจริงได้แล้ว มันก็สามารถที่จะดำเนินภารกิจอนุมาน ต่างๆ โดยการใช้พวกชิปจีนได้ ทั้งนี้เมื่อมีบุคคลตั้งคำถามกับโมเดลเอไออย่างเช่นของ ดีปซีค (DeepSeek) ให้สร้างคำตอบขึ้นมาหรือสร้างคำทำนายออกมา โมเดลเอไอนั้นๆ จะทำงานด้านการอนุมาน ซึ่งจำเป็นต้องใช้พวกชิปเอไอที่มีพลังการคำนวณต่ำลงมาก็ได้ ทว่าควรต้องมีประสิทธิภาพในเรื่องการใช้พลังงานสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับชิปที่ใช้สำหรับการเทรนนิ่งเอไอ
สำหรับวลี “กระสุนเคลือบน้ำตาล” [4] นั้น สามารถสาวย้อนประวัติกลับไปได้จนถึงเดือนมีนาคม 1949 ตอนที่ เหมา เจ๋อตง เตือนพวกผู้ปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า ถึงแม้ใกล้จะได้ชัยชนะทางทหารในสงครามกลางเมืองในประเทศจีนแล้ว แต่พวกผู้ปฏิบัติงานเหล่านี้ก็ยังอาจประสบความพ่ายแพ้จากพวกสิ่งล่อใจที่ละเอียดอ่อน ทั้งนี้ เหมา ใช้วลีนี้มาบรรยายถึงเสน่ห์ยั่วยวนของความสุขสบาย, การมีคนมาประจบเอาใจ, และแรงจูงใจทางวัตถุ ที่พวกนายทุนอาจเสนอให้ เป็นการเตือนภัยว่าเครื่องล่อใจเช่นนี้สามารถที่จะกัดกร่อนความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ทางการเมืองได้อย่างเงียบเชียบ
อีกเกือบ 1 ทศวรรษต่อมา ขณะที่การรณรงค์ “การก้าวกระโดดใหญ่” (Great Leap Forward) [5] เริ่มต้นขึ้นในปี 1958 เหมาก็ได้ส่งเสริมสนับสนุนแนวความคิดว่าด้วย “การเดินด้วยสองขา” ซึ่งเรียกร้องให้ปลุกระดมพลังในทางบวกทั้งหมดทั้งสิ้นมาใช้งานอย่างเต็มที่ พร้อมกับเตือนให้ระมัดระวังการพัฒนาแบบก้าวไปด้านเดียวหรือแบบไม่มีความสมดุล ในแง่ของการปฏิบัติแล้ว คำขวัญนี้รบเร้าประเทศจีนให้ก้าวหน้าไปทั้งทางด้านอุตสาหกรรมหนัก เคียงขู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเบาและเกษตรกรรม และให้ก้าวเดินไปในเส้นทางขยายการเติบโตทางการผลิต ขณะเดียวกับที่ปกป้องคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
คุณค่าทางยุทธศาสตร์ของชิป H 200
คอลัมนิสต์ชาวจีนผู้หนึ่งที่เขียนโดยใช้นามปากกว่า ถังอีเผ้า (Tangyipao วลีนี้แปลว่ากระสุนปืนใหญ่เคลือบน้ำตาล -ผู้แปล) ได้ให้คำอธิบายแบบลงรายละเอียดเกี่ยวกับแบบแผนวิธีการ “สองเส้นทาง” คู่ขนานกันนี้ เพื่อเน้นย้ำคุณค่าทางยุทธศาสตร์ของ H200 ที่จะส่งผลกับประเทศจีน
“ประการแรก เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า จริงๆ แล้ว H200 เสนออะไรให้บ้าง” เขาเขียนเอาไว้เช่นนี้ “H200 เป็นชิปเรือธงระดับชั้นสองของ อินวิเดีย ต่ำลงมาเพียงแค่ชิปซีรีส์ แบล็กเวลล์ (Blackwell) ล่าสุดของบริษัทเท่านั้น โดยที่ความได้เปรียบสำคัญที่สุดของมันอยู่ที่เรื่องความจำแบนวิดธ์สูง (high-bandwidth memory) ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มปริมาณการรับส่งข้อมูลได้อย่างมาก ทั้งนี้ H200 สามารถรับส่งข้อมูลได้เกือบๆ เป็น 6 เท่าตัวของ H20 ทีเดียว”
“สำหรับการวิจัยด้านเอไอแล้ว พวกชิปเอไอระดับไฮเอนด์เป็นเครื่องจักรสำหรับการสร้างพลังทางการคำนวณที่จำเป็นต้องใช้ การเข้าถึง H200 จะทำให้พวกแล็ปของจีนสามารถสร้างระบบต่างๆ ซึ่งไล่ตามเข้าใกล้ประสิทธิภาพสำหรับการเทรนนิ่งโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (large-language model หรือ LLM) และการประมวลผลข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนระดับชั้นบนสุดของสหรัฐฯได้” เขากล่าวต่อ ทั้งนี้พวกโมเดล LLM ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกัน ก็อย่างเช่น แชตจีพีที (ChatGPT) และ ดีปซีค เป็นต้น
“ขณะที่กำลังได้ประโยชน์จากการที่สหรัฐฯผ่อนคลายการส่งออก H200 คราวนี้ เราก็จำเป็นต้องรักษาความมีเหตุมีผลเอาไว้ให้ดี” ถังอีเผ้า บอก “จีนสามารถที่จะใช้พวกเทคโนโลยีต่างประเทศระดับก้าวหน้าล้ำยุคอย่างสมเหตุสมผล เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาทางอุตสาหกรรม แต่ยังคงต้องระแวดระวังตัวไม่ให้ตกลงไปในกับดักแห่งการปิดล็อคทางเทคโนโลยี แล้วถึงยังไงก็ตามที การที่รัฐบาลสหรัฐฯหัก 25% จากรายรับของ H200 ที่ อินวิเดีย ทำได้จากประเทศจีน ในทางเป็นจริงแล้วมันก็คือภาษีที่จัดเก็บจากพวกผู้ซื้อชาวจีนนั่นเอง จีนยังจำเป็นจะต้องเร่งรุดเดินหน้าในเรื่องการพัฒนาชิปภายในประเทศ”
“ด้วย H200 จีนจะสามารถเร่งรัดกระบวนการทำซ้ำทางเทคโนโลยี และก้าวเดินไปในแบบแผนวิธีการ “สองเส้นทาง” ได้ดียิ่งขึ้น แต่แม้กระทั่งไม่มี H200 อุตสาหกรรมเอไอของประเทศจีนก็ยังสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าบนเส้นทางของการพัฒนาอย่างเป็นอิสระ” เขากล่าว “แล้วเมื่อถึงเวลาที่พวกชิปประมวลผลภายในประเทศ เป็นต้นว่า แอสเซนด์ (Ascend) ของ หัวเว่ย (Huawei) มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างสมบูรณ์เต็มที่ การที่จีนต้องพึ่งพาอาศัยพวกชิปไฮเอนด์ต่างประเทศก็จะค่อยๆ ลดน้อยงลง”
ทางด้าน เหมา อี๋ว์ (Mao Yu) คอลัมนิสต์ผู้หนึ่งของ ไอทีไทมส์ (IT Times) ที่ตั้งสำนักงานอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ แสดงความคิดเห็นว่า “เมื่อเปรียบเทียบกับ H20 ที่ถูกทำให้ต่ำชั้นลงมาแล้ว ชิป H200 เสนอประสิทธิภาพการทำงานที่ก้าวพรวดพราดขึ้นมาอย่างมาก ทว่าเสน่ห์น่าสนใจที่แท้จริงของมันไม่ใช่เพียงอยู่ที่ฮาร์ดแวร์เท่านั้น หากยังเป็นระบบนิเวศ CUDA ที่ถูกฝังแน่นหยั่งลึกของ อินวิเดีย อีกด้วย” เหมายังอ้างคำบอกเล่าของผู้เชี่ยวชาญในวงการอุตสาหกรรมที่มิได้มีการเอ่ยชื่อผู้หนึ่งซึ่งกล่าวว่า กิจการเทคโนโลยีจีนรายใหญ่ๆ หลายรายกำลังเตรียมตัวที่จะสั่งซื้อชิป H200 ในจำนวนใกล้เคียง 100,000 ชิ้นทีเดียว
“เหตุที่พวกบริษัทจีนรายใหญ่กำลังปรารถนาที่จะซื้อ ก็คือว่า H200 โดยสาระสำคัญแล้วเป็นชิปแบบ ‘เสียบปลั๊กแล้วทำงานได้เลย’” เขาบอก “หลังจากผ่านการพัฒนามายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ สถาปัตยกรรม CUDA ก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นวงจรที่ครบสมบูรณ์ภายในตัวมันเองแล้ว โดยมีตั้งแต่พวกเครื่องมือสำหรับการพัฒนา ไปจนถึงแอปพลิเคชั่นเพื่อใช้ในฉากทัศน์ต่างๆ มันได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเทรนนิ่งเอไอ ถือเป็นข้อได้เปรียบที่พวกชิปภายในประเทศยังไม่สามารถที่จะลอกเลียนแบบได้ในระยะเวลาสั้นๆ”
เขาบอกด้วยว่า ผู้คนทั่วไปไม่ควรรู้สึกวิตกกังวลจนเกินไปในเรื่องที่ H200 จะเข้าครอบงำตลาดจีน
“มีเพียงพวกบริษัทจีนรายใหญ่ๆ แค่หยิบมือเดียวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเทรนนิ่ง LLM และพวกเขาจำนวนมากก็มีการเก็บสต็อกทรัพยากรหลักๆ อย่างเช่น พวกชิปความจำแบนวิดธ์สูงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น H200 ก็จะเข้ามาทำหน้าที่หลักเป็นตัวเสริมกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีกันอยู่ก่อนแล้ว” เขากล่าว “สำหรับพวกวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลางนั้นต่างโฟกัสไปที่พวกเวิร์กโหลดด้านการอนุมาน ซึ่งมีความต้องการเพียงจำกัดในเรื่องอำนาจการคำนวณแบบเลอเลิศล้ำสมัย ขณะเดียวกันพวกผู้ให้บริการด้านคลาวด์ซึ่งมีรัฐบาลหนุนหลังอยู่ และพวกยูสเซอร์ในภาคเฉพาะต่างๆ ก็ยังคงนิยมชมชอบชิปเอไอภายในประเทศมากกว่า กันต่อไป”
“ขณะที่พวกผู้ผลิตชิปภายในประเทศยังจำเป็นต้องใช้เวลาในการไล่กวดในทัน อินวิเดีย ในเรื่องของการดีไซน์ชิปเอไอระดับไฮเอนด์ และความสามารถทางการผลิต แต่ H200 ก็จะช่วยผ่อนคลายปัญหาคอขวดทางด้านพลังในการคำนวณของแดนมังกรให้คลี่คลายลงมาได้ รวมทั้งปรับปรุงยกระดับประสิทธิภาพทางการวิจัย” เขาชี้
รอยเตอร์ยังรายงาน [6] ด้วยว่า พวกกิจการเทคโนโลยีจีน ซึ่งรวมถึง ไบต์แดนซ์ (ByteDance) และ อาลีบาบา (Alibaba) ต่างแสดงความสนใจที่จะซื้อหาชิป H200 กันทั้งนั้น
“ไม่มีสวิตช์สังหาร”-สั่งให้ชิปหยุดทำงานจากทางไกล
คณะบริหารทรัมป์ได้อนุมัติ [7] ให้ส่งออกชิปรุ่น H20 ของ อินวิเดีย มายังจีนได้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทว่าการตัดสินใจนี้ถูกตั้งข้อระแวงสงสัยอย่างรวดเร็วจากพวกคอมเมนเตเตอร์ชาวจีน จำนวนมากเลยปฏิเสธชิปเหล่านี้พร้อมตีตราให้ว่าเป็น “สุราพิษ” โดยแจกแจงให้เหตุผลว่าถึงแม้ชิปเหล่านี้ถูกลดประสิทธิภาพในการทำงานให้ต่ำลงเพื่อจำหน่ายในประเทศจีนโดยเฉพาะ แต่ก็ยังคงมีจุดมุ่งหมายที่จะผูกพันพวกกิจการเอไอภายในประเทศจีนให้ติดแน่นอยู่กับชุดเทคโนโลยีของอินวิเดีย และเป็นการชะลอความพยายามในการสร้างระบบนิเวศที่เป็นอิสระของจีนเองขึ้นมา
ปักกิ่งก็ได้ตอบสนองด้วยการหยิบยกความกังวลเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ว่า มีการติดตั้ง “ประตูหลัง” เอาไว้ในชิป H20 ซึ่งพวกคอมเมนเตเตอร์เตือนว่าคุณสมบัติทำนองนี้อาจเปิดทางให้ อินวิเดีย หรือทางการสหรัฐฯสามารถที่จะระบุตำแหน่ง, เฝ้าติดตาม, หรือกระทั่งควบคุมจากทางไกล พวกชิป GPU เหล่านี้ที่ใช้งานอยู่ในต่างประเทศ
อินวิเดีย ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ในข้อความที่โพสต์ทางบล็อก [8] ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทแถลงว่ากำลังพัฒนาเครื่องมือสำหรับการเฝ้าติดตามซึ่งยึดโยงอยู่กับซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งขึ้นมา โดยที่เครื่องมือดังกล่าวนี้ดีไซน์เพื่อให้คอยช่วยเหลือพวกลูกค้าในการบริหารจัดการกับการใช้งาน GPU ที่ต่อเชื่อมกันขนาดใหญ่ๆ แต่ไม่ใช่การเข้าไปมีอำนาจควบคุมเหนือกลุ่ม GPUs เหล่านี้
“อินวิเดีย กำลังพัฒนาโซลูชั่นทางซอฟต์แวร์ขึ้นมา เพื่อ visualizing และติดตามการทำงานของ Nvidia GPUs ซึ่งต่อเชื่อมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ (fleets of Nvidia GPUs) ทำให้ผู้ให้บริการด้านคลาวด์ (cloud partners) และองค์การวิสาหกิจต่างๆ ที่ใช้บริการคลาวด์ มีแดชบอร์ดแสดงข้อมูลเชิงลึก (insights dashboard) ซึ่งสามารถช่วยเหลือพวกเขาในการทำให้กลุ่มใหญ่ๆ ของ GPU ทำงานอย่างต่อเนื่องได้นานเท่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในตลอดทั่วทั้ง computing infrastructures” อินวิเดีย แจกแจง
อินวิเดีย เน้นย้ำว่าบริการนี้จะเป็นบริการทางเลือกและเป็นบริการแบบขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ (software-driven)
“บริการแบบทางเลือกนี้ สามารถให้บริการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ได้ ด้วยการที่ระบบ GPU แต่ละระบบมีการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนแบ่งปัน GPU metrics กับผู้ให้บริการคลาวด์ภายนอกรายนั้นๆ” อินวิเดียอธิบาย พร้อมกับเน้นย้ำว่า “GPUs ของอินวิเดียไม่ได้มีเทคโนโลยีเฝ้าติดตามตรวจจับฮาร์ดแวร์, สวิตช์สังหาร, และประตูหลัง”
ตามคำอธิบายของ อินวิเดีย บริการนี้จะมีชิ้นซอฟต์แวร์อิสระอัจฉริยะที่ลูกค้าสามารถติดตั้งเพื่อสตรีมข้อมูล node-level GPU telemetry data ไปยัง portal หนึ่งบน Nvidia GPU Cloud (NGC)
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อินวิเดียและพวกลูกค้าที่ใช้ชิปของบริษัท สามารถที่จะระบุตำแหน่งแห่งที่ของชิปใหม่ๆ ทั้งหมดของบริษัทซึ่งอยู่ในต่างแดน
ในช่วงเดียวกันนี้เอง ดิ อินฟอร์เมชั่น (The Information) รายงานข่าว [9] ในวันเดียวกันว่า ดีปซีค บริษัทสตาร์ทอัปปัญญาประดิษฐ์สัญชาติจีนชื่อดัง กำลังใช้ชิป “แบล็กเวลล์” ของอินวิเดีย ที่ได้มาครอบครองด้วยการแอบลักลอบ ในการสร้าง “ศูนย์ดาต้าเซนเตอร์ปีศาจ” (phantom data centers) ขึ้นมาเพื่อพัฒนาโมเดลเอไอใหม่ๆ ในประเทศจีน ทั้งนี้ สหรัฐฯนั้นสั่งแบนห้ามการจัดส่งชิปแบล็กเวลล์ไปยังแดนมังกร
ในการตอบข้อซักถามเกี่ยวกับรายงานข่าวนี้ โฆษกผู้หนึ่งของอินวิเดียกล่าวว่า บริษัทยังไม่ได้เห็นหลักฐานใดๆ ว่ามีการแอบลักลอบขนย้ายชิปจำนวนมาก โฆษกผู้นี้บอกว่า อินวิเดียไม่เคยได้รับข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่ามีการสร้างศูนย์ดาต้าเซนเตอร์ขึ้นมาเพื่อหลอกลวงบริษัทหรือพวกผู้เป็นหุ้นส่วนของบริษัท แล้วจากนั้นก็แอบกำจัดศูนย์เหล่านั้นอย่างลับๆ และดำเนินการโยกย้ายชิปไปยังที่อื่นๆ พร้อมกับกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ฉากทัศน์ทำนองนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้
ผู้สังเกตการณ์บางราย ให้ความเห็นว่า ปักกิ่งมีความกังวลกับความสามารถของ อินวิเดีย ในการติดตามตำแหน่งแห่งที่ทางกายภาพของบรรดาชิปของบริษัท น้อยกว่าเรื่องที่ว่าการรับประกันของบริษัทในเรื่อง “ไม่มีสวิตช์สังหาร” นั้น สามารถที่จะดำเนินการตรวจสอบยืนยันอย่างเป็นอิสระได้หรือไม่
จิน เหม่ย (Jin Mei) นักเขียนที่ตั้งฐานอยู่ในมณฑลกวางตุ้งผู้หนึ่งบอก [10] ว่า การมีคุณสมบัติในเรื่องประตูหลังใดๆ ก็ตามทีหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องดำเนินการตรวจสอบยืนยันให้ชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่พอใจกับการรับประกันของอินวิเดียเท่านั้น นอกจากนั้น เธอบอกอีกว่า พวกผู้ซื้อชาวจีนจะต้องได้รับการอนุมัติตามกฎระเบียบแบบพิจารณากันทีละกรณี โดยจะต้องอธิบายได้ว่าทำไมจึงต้องการใช้ อินวิเดีย แทนที่จะใช้ตัวเลือกที่เป็นผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ
เชิงอรรถ
[1] https://www.reuters.com/world/asia-pacific/us-considering-letting-nvidia-sell-h200-chips-china-sources-say-2025-11-21/
[2] https://truthsocial.com/@realDonaldTrump/posts/115686072737425841
[3] https://www.bluesci.co.uk/posts/science-walks-on-two-legs-in-maoist-china
[4] https://time.com/archive/6647790/china-sugar-coated-bullets/
[5] https://en.wikipedia.org/wiki/Great_Leap_Forward
[6] https://www.reuters.com/business/autos-transportation/bytedance-alibaba-keen-order-nvidia-h200-chips-after-trump-green-light-sources-2025-12-10/
[7] https://asiatimes.com/2025/11/nvidias-h200-chips-could-be-sugar-coated-bullets-for-china/
[8] https://blogs.nvidia.com/blog/optional-data-center-fleet-management-software/
[9] https://www.theinformation.com/articles/deepseek-using-banned-nvidia-chips-race-build-next-model
[10] https://baijiahao.baidu.com/s?id=1851269187366510595&wfr=spider&for=pc


