ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน เจรจากับคณะผู้แทนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในกรุงเบอร์ลิน เป็นวันที่ 2 ในวันจันทร์ (15 ธ.ค.) หลังจากฝ่ายอเมริกันแถลงว่าการหารือวันแรก “มีความก้าวหน้ามาก” ในการหาทางยุติความสู้รบขัดแย้งในยูเครน โดยที่ผู้นำเคียฟแบะว่าพร้อมยุติความพยายามในการขอเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโต แต่ต้องได้รับหลักประกันความมั่นคงอย่างแข็งแรงจากสหรัฐฯและยุโรปเป็นการแลกเปลี่ยน ทว่าขณะเดียวกันเขายังแสดงท่าทีกร้าวไม่ยอมสละดินแดนบางส่วนให้มอสโก
เซเลนสกี้ เริ่มการหารืออีกวันหนึ่งกับคณะผู้แทนสหรัฐฯที่ประกอบด้วย สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของทรัมป์ และ จาเรด คุชเนอร์ บุตรชายของทรัมป์ ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรีเยอรมนีในกรุงเบอร์ลิน หลังจากที่พวกเขาได้เจรจากันมา 5 ชั่วโมงในวันอาทิตย์ (14) โดยที่พวกผู้นำยุโรปคนอื่นๆ ก็กำลังจัดการประชุมพบปะกันในเมืองหลวงเยอรมนีตลอดทั้งวันเช่นเดียวกัน ตลอดจนน่าจะมีการหารือกับเซเลนสกี้ด้วย
ยูเครนแถลงในวันอาทิตย์ (14) ว่า พร้อมที่จะยกเลิกความมุ่งมาดปรารถนาของตนในการเข้าร่วมนาโต้ แต่ต้องแลกเปลี่ยนกับการได้การค้ำประกันความมั่นคงจากฝ่ายตะวันตก ทว่ายังไม่เป็นที่ชัดเจนในเฉพาะหน้านี้ว่า การเจรจาระหว่างยูเครนกับสหรัฐฯไปไกลถึงไหนแล้วทั้งในประเด็นนี้ และในประเด็นสำคัญยิ่งยวดอื่นๆ อย่างเช่นอนาคตเกี่ยวกับดินแดนของยูเครน โดยเฉพาะภูมิภาคดอนบาส ตลอดจนเรื่องที่ว่าการเจรจาในเบอร์ลินนี้สามารถชักจูงรัสเซียให้ตกลงหยุดยิงได้มากน้อยแค่ไหน
ทำเนียบเครมลินแถลงในวันจันทร์ (15) ว่า เรื่องยูเครนไม่เข้าร่วมนาโต ถือเป็นคำถามพื้นฐานข้อหนึ่งในการพูดจากันเพื่อจัดทำข้อตกลงสันติภาพที่อาจเกิดขึ้นมาได้
“แน่นอนอยู่แล้วว่า ประเด็นนี้คือหนึ่งในเสาหลัก และแน่นอนว่ามันจะต้องเป็นหัวข้อสำหรับการหารือกันเป็นพิเศษ” ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลินกล่าวกับพวกผู้สื่อข่าว โดยบอกต่อไปว่ารัสเซียคาดหมายจะได้รับฟังการอัปเดตจากฝ่ายสหรัฐฯหลังการเจรจาที่เบอร์ลินสิ้นสุดลง
สัปดาห์สำคัญยิ่งยวดสำหรับยุโรป
การหารือในเบอร์ลินมีขึ้นในช่วงเริ่มต้นของสัปดาห์ซึ่งทรงความสำคัญยิ่งยวดสำหรับยุโรป โดยที่สหภาพยุโรปกำหนดจัดการประชุมซัมมิตของตนขึ้นในวันพฤหัสบดี (17) ซึ่งคาดว่าจะมีการตัดสินใจว่า อียูสามารถเดินหน้าแผนการนำเอาทรัพย์สินธนาคารกลางรัสเซียที่ถูกทางยุโรปอายัดไว้ มาเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินก้อนมหึมาเป็นงบประมาณให้ยูเครนใช้จ่ายได้หรือไม่
นอกจากนั้น ยุโรปยังถูกคณะบริหารทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังๆ นี้ เกี่ยวกับนโยบายของอียู ในเรื่องการรับผู้อพยพ, ความมั่นคง, และการจัดระเบียบพวกบริษัทบิ๊กเทค ทั้งสหภาพยุโรปและรัฐบาลระดับชาติสมาชิกของอียูต่างอยู่ในอาการดิ้นรนเพื่อหาคำตอบอย่างเป็นเอกภาพกันมาตอบโต้การวิพากษ์ของสหรัฐฯ
ในวันจันทร์ (15) บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศอียูก็กำลังประชุมกันในกรุงบรัสเซลส์ เพื่อตกลงกันเกี่ยวกับมาตรการแซงก์ชั่นใหม่ๆ ที่จะใช้กับรัสเซีย ถึงแม้หลายคนอย่างเช่น รัฐมนตรีต่างประเทศ ลาร์ส ล็อคเค ราสมุสเสน ของเดนมาร์ก กล่าวยอมรับว่า เรื่องสำคัญที่สุดเวลานี้ยังต้องเป็นการหาวิธีเพื่อให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่ยูเครน เพื่อแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่ายุโรปเป็นเพลเยอร์ที่แข็งแกร่งรายหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็จะต้องยอมแพ้กลายเป็นอย่างที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวหาว่า ยุโรปนั้นอ่อนแอ
ทางด้านประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ สตับบ์ ของฟินแลนด์ ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชัดกับการเจรจาในเรื่องยูเครน และได้พบกับเซเลนสกี้ในวันจันทร์ก่อนหน้าการเจรจากับสหรัฐฯด้วย เปิดเผยกับรายงานทีวีเนเธอร์แลนด์ที่นำมาออกอากาศในวันอาทิตย์ว่า ทางฝ่ายยุโรป ยูเครน และสหรัฐฯ กำลังทำงานอยู่กับเอกสารหลักๆ 3 ฉบับ ได้แก่ กรอบโครงการแผนสันติภาพของทรัมป์ที่เวลานี้กลายเป็นแผนการที่มีเนื้อหารวม 20 ข้อ, เอกสารเกี่ยวกับการรับประกันความมั่นคงให้ยูเครน, และฉบับที่ 3 คือการฟื้นฟูบูรณะยูเครน
เป็นที่คาดหมายกันว่า ทั้ง อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป ที่เป็นองค์กรบริหารของอียู และพวกผู้นำของหลายชาติยุโรป เช่น สหราชอาณาจักร, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, โปแลนด์, และสวีเดน จะอยู่ในเบอร์ลินวันจันทร์เพื่อประชุมกัน รวมทั้งหารือกับเซเลนสกี้หลังเจรจากับฝ่ายอเมริกันแล้ว
ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียได้กล่าวย้ำข้อเรียกร้องที่ว่า ยูเครนต้องประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะไม่เข้าเป็นสมาชิกนาโต และถอนทหารออกไปจากพื้นที่ภูมิภาคดอนบาสประมาณ 10% ที่เคียฟยังเป็นฝ่ายควบคุมอยู่ในเวลานี้
มอสโกยังระบุว่า ยูเครนต้องกลายเป็นประเทศที่ใช้นโยบายเป็นกลาง และไม่มีกองทหารนาโตประจำอยู่
แหล่งข่าวรัสเซียหลายรายยังกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ในปีนี้ว่า ปูตินต้องการคำมั่นสัญญาเป็น “ลายลักษณ์อักษร” จากมหาอำนาจตะวันตกรายใหญ่ๆ ว่าจะไม่ขยายนาโตไปทางตะวันออกอีกแล้ว ซึ่งก็คือการไม่รับยูเครน, จอร์เจีย, มอลโดวา, และอดีตสาธารณรัฐโซเวียตรายอื่นๆ เข้าเป็นสมาชิกนั่นเอง
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี )


