เอเจนซีส์/รอยเตอร์ – นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ ยอมรับคืนวันจันทร์(1 ธ.ค) ปักกิ่งเสี่ยงเป็นภัยคุกคามทางความมั่นคงแดนผู้ดี ส่งผู้แทนไปจีนหารือโปรเจกต์เมกะสถานทูตปักกิ่งแห่งใหม่เจ้าปัญหา โพลสำรวจพบบริษัทยุโรปเตรียมย้ายห่วงโซ่อุปทานของการผลิตจากจีนตอบโต้มาตรการจำกัดการส่งออกของปักกิ่งในสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน พบมีบริษัทดังร่วมในโพลสำรวจทั้ง BMW ,Volkswagen, Nokia และบริษัทพลังงานฝรั่งเศส TotalEnergies
เทเลกราฟของอังกฤษรายงานวันนี้(2 ธ.ค)ว่า ผู้นำอังกฤษยอมออกมายอมรับว่า “จีน” เป็นภัยความมั่นคงอังกฤษในการแถลงคืนวันจันทร์(1)ตอบโต้ข้อกล่าวหาต่อจุดยืนพรรคแรงงานอังกฤษของตัวเองในการต้องเลือกระหว่างยุคทองของลอร์ด เดวิด คาเมรอน และยุคน้ำแข็งผลงานจากผู้นำพรรคคอนเซอร์เวตีฟไม่นานมานี้
นายกรัฐมนตรี เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ แถลงว่า “จีนเป็นชาติขนาดใหญ่ มีความทะเยอทะยาน และชาญฉลาด มีความแข็งแกร่งในด้านเทคโนโลยี การค้า และการกำกับระดับโลก”
แต่เสริมว่า “ในเวลาเดียวกันเสี่ยงสร้างภัยคุกคามความมั่นคงชาติต่ออังกฤษ”
เขาได้ตอบโต้ว่า “การปกป้องความมั่นคงของพวกเรานั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประนีประนอมได้ มันเป็นหน้าที่แรกของพวกเรา แต่ทว่าในการใช้มาตรการที่แข็งกร้าวเพื่อทำให้พวกเราปลอดภัยจะทำให้เราสามารถทำให้พวกเราร่วมมือในด้านอื่นๆ”
การออกมาตอบโต้นี้เกิดขึ้นหลังคดีสายลับปักกิ่งในเวสต์มินสเตอร์ที่ไม่สามารถดำเนินคดีทางศาลเอาผิดได้และยังทำให้เกิดคำถามว่า รัฐบาลพรรคแรงงานอังกฤษของสตาร์เมอร์ตั้งใจจะเป็นอุปสรรคบั่นทอนคดีนี้เพื่อปกป้องความสัมพันธ์กับปักกิ่งไว้ แต่ทว่ารัฐมนตรีอังกฤษต่างออกมาปฎิเสธ
เดลีเทเลกราฟรายงานว่า ยังเป็นการเปิดเผยไปทั่วในคืนวานนี้(1)ว่า ผู้แทนอังกฤษ โจนาธาน พาวเวลล์ (Jonathan Powell) เดินทางแบบปิดลับไปจีนเพื่อพบรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ ในวันศุกร์(28 พ.ย)
พาวเวลล์ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติอังกฤษของสตาร์เมอร์ได้พยกับรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน โดยหวัง อี้กล่าวว่า เขาหวังว่า “อังกฤษ” จะเลือกหนทางที่เป็นมิตรในการเข้าหาจีน
รายละเอียดการเดินทางไปเยือนจีนของที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติอังกฤษกลายเป็นข่าวล่วงหน้าก่อนการตัดสินใจคำขอของปักกิ่งในการสร้างสถานทูตจีนใหญ่ที่สุดในยุโรปบนโรงกษาปณ์เก่ากลางกรุงลอนดอน ที่คาดว่ารัฐบาลของสตาร์เมอร์จะต้องออกคำตัดสินภายในไม่อีกกี่สัปดาห์หลังจากนี้
ด้านหอการค้าสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า คาดจะมีบริษัทยุโรปในอนาคตจะย้ายห่วงโซ่อุปทานการผลิตของตัวเองออกไปจากจีนเพื่อตอบโต้ต่อมาตรการแข็งกร้าวของปักกิ่งในคำสั่งควบคุมส่งออกที่ปักกิ่งต้องการเล่นงานสหรัฐฯในสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
ในการแถลงเปิดเผยว่า มีราว 1 ใน 3 ของบริษัทยุโรปที่เป็นสมาชิกกำลังจะย้ายฐานห่วงโซ่อุปทานออกไปนอกประเทศจีนเนื่องมาจากคำสั่งปักกิ่งในการควบคุมการส่งออก
รอยเตอร์รายงานวันจันทร์(1)ว่า ราว 40% ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามการสำรวจด่วนรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์จีนนั้นดำเนินการใบอนุญาตส่งออกช้ามากกว่าที่ได้ให้คำสัญญาไว้
หอการค้า EU ประจำจีนเปิดเผยว่า มีราว 130 บริษัทเข้าร่วมการสำรวจรวมไปถึงบริษัทชื่อดังทั้ง BMW ,Volkswagen, Nokia และบริษัทพลังงานฝรั่งเศส TotalEnergies
โดยหอการค้ายุโรปได้เปิดเผยในวันจันทร์(1)ว่า การควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดของปักกิ่งเป็นการกำลังผลักดันให้บริษัทยุโรปต่างๆกำลังแสวงหาห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่มีความสามารถนอกจีนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
เป็นการออกมาตอบโต้มาตรการของปักกิ่งและหาที่หลบภัยจากความตรึงเครียดทางสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนไปในตัว
“การควบคุมการส่งออกของจีนเพิ่มความไม่แน่นอนที่รู้สึกได้ต่อปฎิบัติการธุรกิจยุโรปในประเทศที่บรรดาบริษัทต่างกำลังเผชิญหน้าต่อความเสี่ยงของความล่าช้าในการผลิตหรือแม้กระทั่งต้องหยุดลง” เยนส์ เอสคีลุนด์ (Jens Eskelund) ประธานหอการค้าEU ประจำจีนแถลง
มาตรการปิดกั้นได้เพิ่มแรงกดดันต่อระบบการค้าโลกที่อยู่ภายใต้ความตรึงเครียดที่มหาศาสล เสริมต่อ
รอยเตอร์รายงานว่า เกือบ 70% ของบริษัทที่ร่วมการตอบแบบสอบถามระบุว่า โรงงานการผลิตในต่างประเทศนั้นขึ้นอยู่กับชิ้นส่วนที่อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมการส่งออกของปักกิ่ง ในขณะอีก 50% ของบริษัทส่งออกที่ระบุว่า ซัพพลายเออร์ของพวกเขาหรือของลูกค้าที่ผลิตสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการจำกัดการส่งออกหรือในไม่ช้าจะอยู่ภายใต้มาตรการจำกัด
นอกจากนี้บริษัทจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปเปิดเผยว่ากระบวนการใบอนุญาตนี้ใช้เวลานาน 45 วันจากที่แต่เดิมกระทรวงพาณิชย์จีนได้รับปากและเปิดเผยถึงปัญหาด้านความโปร่งสาและปิดบังข้อกำหนด และบริษัทสัญชาติ EU ยังแสดงความวิตกต่อการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาในจีน
และในการสำรวจเดียวกันนี้ บริษัท 56 แห่งจากทั้งหมด 131 แห่งเปิดเผยว่า พวกเขาไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการส่งออก แสดงให้เห็นว่ายังมีบางภาคส่วนได้รับการปกป้องอยู่


