กัมพูชามีแผนกู้ยืมเงิน 2,250 ล้าน จากสิทธิพิเศษถอนเงิน หรือ Special Drawing Rights (SDR) กลไกเสริมเงินสำรองระหว่างประเทศให้กับชาติสมาชิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) เทียบเท่ากับ 3,100 ล้านดอลลาร์(ราว 100,000 ล้านบาท) สำหรับโครงการการลงทุนสาธารณะต่างๆนานาในปี 2026 เพิ่มขึ้น 12.5% ของเพดาน 2,600 ล้านดอลลาร์ของปีที่แล้ว แม้พวกนักเศรษฐศาสตร์ยอมรับว่าเงินกู้ต่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชาติ แต่เตือนจำเป็นต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้และมีมาตรการต่อต้านคอรัปชัน เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านหนี้ในอนาคต
รายงานของคิริโพสต์อ้างอิงร่างกฎหมายด้านบริหารจัดการงานสำหรับปี 2026 ระบุว่ากระทรวงเศรษฐกิจและการคลังมีสิทธิตามกฎหมายแต่เพียงผู้เดียว ในการลงนามกู้ยืมเงิน สำหรับเป็นทุนในโครงการลงทุนของภาครัฐต่างๆนานา มอบการสนับสนุนด้านงบประมาณ นำงบประมาณแผ่นดินไปใช้ให้เกิดประโยชน์หรือดำเนินการค้ำประกันโดยรัฐ ภายใต้การลงนามเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี
ส่วน SDR คือสินทรัพย์ทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่จัดตั้งขึ้นมาโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ภายใต้เงื่อนไขเงินกู้แบบผ่อนปรนที่ต้องชำระคืน(เงินกู้ที่จัดหาในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาดและมีเงื่อนไขการชำระคืนที่ยืดหยุ่นกว่าปกติ) เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้ระบบการเงินระหว่างประเทศมีเสถียรภาพ สามารถทำการค้าและการลงทุนได้อย่างมั่นใจ
คิริโพสต์รายงานต่อว่าเงินกู้ถ้าผ่านลงนามของนายกรัฐมนตรีแล้ว จะถูกจัดสรรนำไปสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการสาธารณะต่างๆนานาในภาคส่วนที่มีความสำคัญลำดับต้นๆ เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาวและเพิ่มผลิตภาพและผลผลิตทางเศรษฐกิจ
รายงานข่าวอ้างว่าจนถึงครึ่งปีแรกของปี 2025 หนี้สาธารณะของกัมพูชาในปัจจุบัน ยังอยู่ในระดับบริหารจัดการได้ นั่นหมายความว่ามีความยั่งยืนและมีความเสี่ยงต่ำ
ในไตรมาส 2 ของปี 2025 รัฐบาลกัมพูชาลงนามในเงินกู้ใหม่ 196.48 ล้านดอลลาร์ กับบรรดาคู่หูด้านการพัฒนาพหุภาคี คิดเป็นสัดส่วน 7% ของเพดานที่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมาย(2,600 ล้านดอลลาร์) ถ้อยแถลงระบุว่าโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆนานาได้รับงบประมาณคิดเป็นสัดส่วน 87% ของเงินกู้ใหม่ ส่วนอีก 13% จัดสรรให้กับโครงการต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภค
Soeung Saroeun กรรมการบริหารของ NGO Forum อ้างว่าตัวเลขหนี้สาธารณะของกัมพูชาอยู่ที่ 26% ถึง 30% ของจีดีพี ซึ่งทางไอเอ็มเอฟและเวิลด์แบงก์ประเมินว่าบริหารจัดการได้ แต่เขาเน้นว่า "จำเป็นต้องระมัดระวัง" เนื่องจากหนี้สินเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่ากังวล
เขาบอกว่าเงินกู้ต่างประเทศมีบทบาทสำคัญในด้านการพัฒนา อย่างเช่นการก่อสร้างถนนคุณภาพสูงและการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจในระยะยาว "ในขณะที่หลายโครงการมีเป้าหมายชัดเจน แต่ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยังคงเป็นประเด็นที่จำเป็นต้องได้รับการยกระดับ เพื่อรับประกันว่าเงินกู้นี้จะไม่ก่อความเสี่ยงด้านหนี้ในอนาคต"
คิริโพสต์รายงานว่าจนถึงช่วงสิ้นสุดไตรมาส 2 ของปี 2025 ตัวเลขหนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 12,670 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง 1% ในนั้น(ราว 128.50 ล้านดอลลาร์) เป็นหนี้ที่กู้ยืมในประเทศ ส่วนอีก 99%(ราว 12,540 ล้านดอลลาร์) เป็นหนี้ที่กู้ยืมจากภายนอก
ในปี 2024 รัฐบาลกัมพูชากู้หนี้ 1,790 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 81% ของระดับ 2,300 ล้านดอลลาร์ ที่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายบริหารจัดการการเงิน ทั้งนี้ 39% ในนั้นเป็นเงินกู้จากคู่หูพัฒนาทวิภาคี และ 61% เป็นการกู้จากคู่หูพัฒนาพหุภาคี
(ที่มา:คิริโพสต์)


