xs
xsm
sm
md
lg

เอาแล้ว!'สม รังสี'แฉตระกูลฮุนโยกทองคำสำรองกัมพูชา หนีถูกคว่ำบาตร-อายัดกรณีเอี่ยว'เฉินจื้อและปรินซ์กรุ๊ป'

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เหตุการณ์ต่างๆเมื่อเร็วๆนี้ที่เกี่ยวข้องกับทองคำสำรองของกัมพูชาและสหรัฐฯฟ้องร้องปรินซ์กรุ๊ปและเฉิน จื้อ ตัวประธาน รวมถึงข่าวลือที่หลุดออกมาจากพนมเปญ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะโยกย้ายทองคำของประเทศ บ่งชี้ถึงความเสี่ยงร้ายแรงที่ทองคำแห่งชาติกัมพูชาอาจถูกโยกย้ายไปไกลเกินกว่าอำนาจทางกฎหมายจะเอื้อมถึง เพื่อปกป้องมันจากมาตรการคว่ำบาตร อายัดและสืบสวนติดตาม ตามคำกล่าวอ้างของสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา

ในการตั้งข้อสังเกตที่เขียนบนเฟซบุ๊กส่วนตัว นามสม รังสี ชี้ว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่ใช่ประเด็นทางเทคนิคในด้านบริหารจัดการทองคำสำรองของประเทศอีกต่อไป เพราะมันเกิดขึ้นพร้อมๆกันหลายอย่าง ทั้งการถ่ายโอนทองคำที่ไร้ความโปร่งใส่ การเปิดโปงอาชญากรรมและการเคลื่อนไหวแบบเผด็จการ ซึ่งเสี่ยงเป็นภัยคุกคามต่อความซื่อตรงของระบบการเงินระหว่างประเทศ และต่อความมั่นคงแห่งชาติของกัมพูชา

สม รังสี ชี้ว่าระหว่างปี 2012 ถึง 2017 มีรายงานว่ากัมพูชานำเข้าทองคำจากสิงคโปร์ ราวๆ 407 ตัน มูลค่าราวๆ 15,000 ล้าน ถึง 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นมูลค่าที่ไม่สมสัดสมส่วนอย่างมากกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ประเทศแห่งนี้แทบไม่มีศักยภาพในการสกัดทองคำ ไม่มีอุตสาหกรรมเครื่องประดับขนาดใญ่ และไม่มีอุปสงค์ทางอุตสาหรรมสำหรับทองคำ ปัจจุบันทองคำสำรองของกัมพูชาอยู่ที่ 54 ตัน ถือเป็นเศษส่วนเล็กน้อยของยอดนำเข้าในช่วงเวลาดังกล่าว และที่สำคัญ ส่วนใหญ่ในทองคำสำรอง 54 ตันนั้น เป็นทองคำที่มีย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนทศวรรษ 1970 ในยุคสมัยสังคมราษฎร์นิยม ภายใต้กษัตริย์สมเด็จพระนโรดม สีหนุ

ที่เป็นปัญหากว่านั้น สม รังสี ชี้ว่าข้อมูลของสิงคโปร์ เกี่ยวกับการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชา ไม่ตรงกับข้อมูลนำเข้าของกัมพูชาเอง ช่องว่างทางตัวเลขดังกล่าว เป็นสัญลักษณ์สำคัญของการฟอกเงินทางการค้า (Trade-Based Money Laundering: TBML) ซึ่งการส่งมอบทองคำและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ถูกใช้เป็นเครื่องปกปิดแหล่งที่มาของเงินที่ได้จากการเครือข่ายอาชญากรรมและทำให้เงินนั้นดูเหมือนถูกกฎหมาย โดยอาศัยการบิดเบือนข้อมูลในธุรกรรมการค้า

ในความเห็นของสม รังสี เขาเชื่อว่าตัวเลขที่ไม่ตรงกันดังกล่าว สมมุติฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือทองคำส่วนใหญ่เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในกัมพูชาอีกแล้ว แต่ถูกปรับเปลี่ยนเส้นทาง มีความเป็นไปได้ว่าจะมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางอื่นๆ ในนั้นรวมถึงเวียดนามและจีน หลังมีการทำเอกสารใหม่หรือประเมินค่าใหม่เพื่อปกปิดแหล่งที่มาและเจ้าของ ปริมาณและความไม่โปร่งใสของกระแสทองคำเหล่า บ่งชี้ว่ากัมพูชาอาจทำหน้าที่ในฐานะศูนย์แวะพัก ไม่ใช่ตลาดปลายทาง ซึ่งก่อคำถามมากมายเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของทองคำ

ข้อเขียนของสม รังสี ระบุว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าว ประจวบเหมาะกับที่กระทรวงการคลังของสหรัฐฯคว่ำบาตร เล็งเป้าเล่นงานบุคคล 146 รายใน ปรินซ์ กรุ๊ป กลุ่มบริษัทสัญชาติกัมพูชา และกำหนดให้บริษัทแห่งนี้เป็น "องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ" และได้ฟ้องร้องเอาผิดกับ เฉิน จื้อ ประธานและซีอีโอเชื้อสายจีน สัญชาติสหราชอาณาจักรและกัมพูชา ที่มีความใกล้ชิดกับ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชาในปัจจุบัน ในข้อหาฉ้อโกงทางการเงินออนไลน์และฟอกเงิน

ผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชารายนี้ กล่าวว่าไม่นานหลังการฟ้องร้องและคว่ำบาตร เจ้าหน้าที่กัมพูชาปล่อยข่าวออกมา โดยไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ ว่ารัฐบาลอาจโอนทองคำสำรองบางส่วนไปเก็บไว้ในจีน มีความเป็นไปได้ว่าจะดำเนินการผ่านตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้

สม รังสี ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับช่วงเวลาของความเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยชี้ว่าข่าวสารที่ปล่อยออกมานี้เป็นไปอย่างคลุมเครือ ไม่มีการให้รายละเอียดใดๆเกี่ยวกับปริมาณทองคำหรือเงื่อนไขของการโอนย้ายทองคำ ความคลุมเครือนี้บ่งชี้ว่ามันไม่ได้เป็นการตัดสินใจทางนโยบาย แต่เป็นการลองเชิงดูปฏิกิริยาผู้คน นำเสนอออกมาเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของนานาชาติ และทดสอบว่าการโอนย้ายนี้จะต้องเจอกับแรงต่อต้านหนักหน่วงแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม สม รังสี ชี้ว่าถ้าการโอนย้ายดังกล่าวเกิดขึ้นจริง การถือครองทองคำของรัฐบาลกัมพูชาภายใต้กฎหมายและสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบ จะมีความโปร่งใสน้อยลงกว่าเดิมมาก และให้ความร่วมมือน้อยลงกว่าเดิม เมื่อเทียบกับการเก็บไว้ในลอนดอนหรือสวิตเซอร์แลนด์ ในทางปฏิบัติมันอาจทำให้ทองคำเหล่านี้ไม่สามารถตรวจสอบได้ในระดับนานาชาติ แม้แต่ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตร การติดตามทรัพย์สินหรือการเรียกร้องทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่ปรินซ์กรุ๊ปถูกฟ้องร้อง มีความเป็นไปได้ที่พวกผู้นำกัมพูชากำลังหาทางปกป้องทรัพย์สินโดยนำไปไว้ในต่างแดน ความเคลื่อนไหวที่เป็นสัญญาณอันตรายร้ายแรง

(ที่มา:สม รังสี)


กำลังโหลดความคิดเห็น