หมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีของสหรัฐฯ นำโดย “ยูเอสเอส เจอรัลด์ อาร์ ฟอร์ด” เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลก เดินทางถึงภูมิภาคละตินอเมริกาแล้วในวันอังคาร (11 พ.ย.) กระตุ้นให้เวเนซุเอลาเรียกระดมพลครั้งใหญ่ทั่วประเทศ พร้อมเตือนว่า ความขัดแย้งเต็มรูปแบบอาจใกล้ระเบิด
ตามคำแถลงเมื่อวันอังคารของกองบัญชาการด้านใต้สหรัฐฯส่วนกองกำลังทางนาวี (US Naval Forces Southern Command) เรือบรรทุกเครื่องบิน เจอรัลด์ อาร์ ฟอร์ด พร้อมกับเรือรบอื่นๆ ในหมู่เรือ ได้เดินทางเข้าสู่พื้นที่ภายใต้การควบคุมดูแลของทางกองบัญชาการแล้ว ทั้งนี้ กองบัญชาการทหารด้านใต้สหรัฐฯส่วนกองกำลังทางนาวี เป็นส่วนหนึ่งของกองบัญชาการทหารด้านใต้สหรัฐฯ (US Southern Command) ซึ่งดูแลพื้นที่ครอบคลุมทั้งละตินอเมริกาและทะเลแคริบเบียน
หมู่เรือบรรทุกเครื่องบินนี้ ออกเดินทางตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อสมทบกับกองกำลังทางนาวีที่ถูกจัดส่งมายังภูมิภาคนี้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งประกอบด้วยเรือรบ 8 ลำ, เรือดำน้ำนิวเคลียร์ 1 ลำ และเครื่องบินเอฟ-35 ในการปฏิบัติภารกิจที่ถูกระบุว่ามุ่งการปราบปรามการลักลอบค้ายาเสพติดในแคริบเบียนและละตินอเมริกา
ทั้งนี้หมู่เรือบรรทุกเครื่องบินโจมตี เจอรัลด์ อาร์ ฟอร์ด เอง นอกจากมีเรือบรรทุกเครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลกและลำใหม่ที่สุดของอเมริกาลำนี้เป็นแกนกลางแล้ว ยังประกอบด้วยเรือรบสนับสนุน อย่างเช่น เรือนอร์มังดี ซึ่งเป็นเรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธนำวิถีชั้นติคอนเดโรกา, เรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวถีชั้นอาร์ลีจ์เบิร์กจำนวน 4 ลำ ได้แก่ เรือโธมัส ฮัดเนอร์, เรือราเมจ, เรือคาร์นีย์, และเรือรูสเวลต์ พรั่งพร้อมด้วยสมรรถนะในการทำสงครามทั้งแบบพื้นผิวน้ำสู่อากาศ, พื้นผิวน้ำสู่พื้นผิวน้ำ, และการต่อสู้เรือดำน้ำ
ฌอน พาร์เนลล์ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า ยูเอสเอส เจอรัลด์ อาร์ ฟอร์ด ที่บรรทุกเครื่องบินทหารได้กว่า 75 ลำ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินขับไล่เอฟ-18 ซูเปอร์ฮอร์เน็ตนั้น จะช่วยเพิ่มสมรรถนะของอเมริกาในการตรวจจับ ติดตาม และขัดขวางกิจกรรมและผู้กระทำผิดกฎหมายที่บ่อนทำลายความปลอดภัยและความมั่งคั่งของอเมริกา และความมั่นคงในซีกโลกตะวันตก
เวลานี้คณะบริหารของทรัมป์กำลังเปิดปฏิบัติการทางทหารในแคริบเบียนและแปซิฟิกด้านตะวันออก โดยระดมกำลังทั้งจากกองทัพเรือและกองทัพอากาศ โดยอ้างเหตุผลเพื่อปราบปรามการลักลอบค้ายาเสพติด ถึงแม้ด้วยแสนยานุภาพมหึมาขนาดนี้ ทำให้เกิดความระแวงสงสัยว่าอาจจะมีอะไรมากไปกว่านี้
ทางด้านประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ของเวเนซุเอลา ในวันอังคารได้ย้ำข้อกล่าวหาเดิมของตนที่ว่า ปฏิบัติการของอเมริกามีเป้าหมายเพื่อโค่นอำนาจตนเอง โดยก่อนหน้านี้เขาเคยประกาศว่า ถ้าอเมริกาเข้าแทรกแซงเวเนซุเอลา ประชาชนทั้งหญิง-ชายนับล้านจะจับอาวุธพร้อมปกป้องประเทศ
กระทรวงกลาโหมเวเนซุเอลาแถลงในวันเดียวกันว่า ได้ระดมพลครั้งใหญ่ทั้งกองกำลังทุกเหล่าทัพ รวมถึงกองกำลังขีปนาวุธ และกองกำลังอาสาสมัครพลเรือนเพื่อต่อต้านการคุกคามของจักรวรรดินิยมสหรัฐฯ
วลาดิมีร์ ปาดริโน รัฐมนตรีกลาโหมเวเนซุเอลา สำทับว่า ได้จัดการซ้อมรบที่มีกำลังพลเข้าร่วม 200,000 นาย แม้เอเอฟพีรายงานว่า ไม่พบกิจกรรมทางทหารในคารากัสก็ตาม
ข้อมูลจากแหล่งข่าววงในเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า เวเนซุเอลากำลังระดมอาวุธที่รวมถึงอาวุธของรัสเซียที่ใช้มานานนับสิบปี รวมทั้งวางแผนใช้สงครามจรยุทธ์ หรือไม่ก็ใช้วิธีการสร้างสถานการณ์ความปั่นป่วนวุ่นวาย ในกรณีที่อเมริกาโจมตีทางอากาศหรือภาคพื้นดิน
ทั้งนี้ เดือนส.ค.ที่ผ่านมา วอชิงตันเพิ่มรางวัลสองเท่าตัวเป็น 50 ล้านดอลลาร์สำหรับผู้ให้เบาะแสในการเข้าจับกุมมาดูโร ซึ่งอเมริกากล่าวหาว่า เกี่ยวข้องกับการลักลอบขนยาเสพติดและแก๊งอาชญากรรม ทว่า ผู้นำเวเนซุเอลายืนกรานปฏิเสธ
ต้นเดือนนี้ ทรัมป์พยายามกลบกระแสข่าวที่ว่า อเมริกาเตรียมทำสงครามกับเวเนซุเอลา โดยออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ แต่แล้วก็กลับบอกด้วยว่า เวลาของมาดูโรใกล้หมดลงแล้ว
นับจากเดือนก.ย. เป็นต้นมา กองทัพสหรัฐฯ โจมตีเรือต่างๆ ราว 20 ลำในเขตน่านน้ำสากลในภูมิภาคดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 76 คน โดยอ้างว่าเป็นเรือที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด
นอกจากเวเนซุเอลาแล้ว ใน วันอังคาร ประธานาธิบดีกุสตาโว เปโตรของโคลอมเบีย ที่ปะทะคารมกับทรัมป์หลายครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์นี้ ได้สั่งระงับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองกับวอชิงตันจนกว่าอเมริกาจะยุติการใช้ขีปนาวุธโจมตีเรือในแคริบเบียน
วันเดียวกันนั้น เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา ได้แถลงประณามการโจมตีเรือจากเวเนซุเอลาของอเมริกาว่า เป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้ในแบบฉบับของประเทศที่ไม่มีกฎหมายหรืออยู่เหนือกฎหมาย
ทั้งนี้ คณะบริหารของทรัมป์อ้างว่า อเมริกากำลังทำสงครามกับแก๊งค้ายาในละตินอเมริกาซึ่งถือเป็น “กลุ่มก่อการร้าย” โดยที่ไม่เคยแสดงหลักฐานว่า เรือที่ถูกโจมตีมียาเสพติดอยู่ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนระบุว่า การโจมตีของสหรัฐฯ เข้าข่ายวิสามัญฆาตกรรมแม้พุ่งเป้าผู้ค้ายาเสพติดที่เป็นที่รู้จักก็ตาม
ขณะเดียวกัน โฆษกของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของอังกฤษ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานของซีเอ็นเอ็นที่ว่า ลอนดอนระงับการแลกเปลี่ยนข่าวกรองกับวอชิงตันเกี่ยวกับเรือที่สงสัยว่าลักลอบขนยาเสพติด โดยให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องของความมั่นคงและข่าวกรอง พร้อมย้ำว่า อเมริกาเป็นหุ้นส่วนด้านการทหาร ความมั่นคง และข่าวกรองที่ใกล้ชิดที่สุดของอังกฤษ ซึ่งไม่ควรถูกนำไปโยงกับข่าวอังกฤษกังวลกับการโจมตีเรือในแคริบเบียน
(ที่มา: เอเอฟพี/รอยเตอร์)


