xs
xsm
sm
md
lg

เกิดอะไรขึ้น ทำไมการประชุมซัมมิตทรัมป์-ปูตินที่ฮังการีจึงถูกยกเลิก?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สตีเฟน ไบรเอน



(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/10/trump-and-putin-something-happened-on-the-way-to-the-forum/)

Trump and Putin: Something happened on the way to the Forum
by Stephen Bryen
24/10/2025

บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมา ขณะที่กำลังมีความคืบหน้าในการเตรียมการสำหรับการประชุมซัมมิตระหว่างทรัมป์กับปูตินที่ฮังการี มันก็ได้ถูกบอกยกเลิกไปอย่างกะทันหัน สาเหตุเบื้องลึกของเรื่องนี้อาจสันนิษฐานออกมาได้หลายอย่าง ทั้งในแง่ที่ทรัมป์อาจมีความเข้าใจและตีความผิดเกี่ยวกับคำพูดจุดยืนของปูติน หรืออาจจะเป็นเพราะปูตินเผชิญแรงต่อต้านคัดค้านจากภายในประเทศ ซึ่งรวมไปถึงกองทัพด้วย จึงต้องถอยออกมาจากสิ่งที่เขาพูดเอาไว้กับทรัมป์ นอกจากนั้นยังอาจมาจากแรงคัดค้านของฝ่ายยุโรป จึงทำให้ทรัมป์นั่นแหละเป็นฝ่ายเปลี่ยนใจ

มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมาซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ บอก “ยกเลิก” การพบปะซึ่งเป็นที่คาดหวังกันชองหลายๆ ฝ่าย ระหว่างตัวเขาเองกับ วลาดิมีร์ ปูติน ในกรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการี

ลองพิจารณาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดูนะครับ แผนการต่างๆ กำลังเดินหน้าไปเพื่อให้เกิดการพบปะเจรจาคราวนี้ขึ้นมา รัฐมนตรีต่างประเทศฮังการี ได้เดินทางมาอยู่ในกรุงวอชิงตันแล้ว เพื่อทำงานเรื่องการวางแผนสำหรับการหารือ ขณะที่เขายังอยู่ในเมืองหลวงของสหรัฐฯนี้เอง รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ ของสหรัฐฯ ก็ได้พูดคุยทางโทรศัพท์ “อย่างบังเกิดผล” กับรัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ ของฝ่ายรัสเซีย –แล้วจากนั้นก็เสนอแนะให้ ทรัมป์ ยกเลิก การพบปะเจรจากับปูติน

ประเด็นปัญหาสำคัญที่สุดคือเรื่องข้อเรียกร้องของสหรัฐฯที่ให้มีการตกลงหยุดยิงกันทันที ตามคำแถลงของลาฟรอฟ ฝ่ายรัสเซียจะไม่มีทางตกลงยินยอมเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ รูบิโอ จึงแจ้งกับประธานาธิบดีของเขาว่า การเจรจากันในกรุงบูดาเปสต์จะไม่สามารถประสบความสำเร็จอะไรได้

การพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างรูบิโอ-ลาฟรอฟ เกิดขึ้นในวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา มันเกิดขึ้นหลังจาก (ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์) เซเลนสกี พบหารือกับประธานาธิบดีทรัมป์ในวันที่ 17 ตุลาคม ซึ่งเป็นการพบปะที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งกัน

ขณะที่ไม่ได้มีการเผยแพร่บันทึกย่อของการเจรจาระหว่างทรัมป์-เซเลนสกี อย่างชัดเจนเป็นเรื่องเป็นราว แต่จากข่าวที่รั่วไหลออกมาถึงสื่อมวลชน [1] นั้นแทบทั้งหมดเน้นหนักอยู่ที่ 2 อย่าง นั่นคือ ทรัมป์ บอกกับ เซเลนสกี ว่า เขาไม่ได้กำลังจะปล่อยขีปนาวุธโทมาฮอว์ก (Tomahawk missile) ไปให้แก่ยูเครนหรอก นอกจากนั้นเขายังบอก เซเลนสกี ว่า ยูเครนจำเป็นต้องยอมรับการเสียดินแดน สำหรับให้ข้อตกลงสันติภาพใดๆ ก็ตามสามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้

เซเลนสกี นั้นเดินทางไปถึงทำเนียบขาวโดยเตรียมเอาไว้พรักพร้อม พวกแผนที่แสดงเป้าหมายต่างๆ ภายในรัสเซียสำหรับที่ขีปนาวุธโทมาฮอว์กซึ่งทางอเมริกันกำลังจะจัดส่งให้จะยิงโจมตี เขาคาดหวังอย่างเต็มที่ว่าวอชิงตันจะตกลงเห็นชอบกับแผนการที่เขาจะเสนอ ซึ่งจะมีทั้งการโจมตีเล่นงานทั้งพวกโครงสร้างพื้นฐาน, สถานที่ตั้งทางการทหารและอุตสาหกรรม, และบางทีอาจเป็นไปได้ทีเดียวจะรวมไปถึงพวกองค์กรตัดสินใจหลักๆ ซึ่งมีทำเนียบเครมลินด้วย เซเลนสกีกำลังเฝ้ารอคอยให้สหรัฐฯอนุมัติการโจมตีใส่เป้าหมายเหล่านี้



พวกเราคงจะยังจำกันได้ว่า เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2023 ยูเครนได้เปิดการโจมตีอย่างห้าวหาญโดยใช้โดรน เข้าเล่นงานทำเนียบเครมลิน ทั้งนี้มีการพุ่งเป้ามุ่งหวังถล่มบริเวณพื้นที่สำนักงานของปูตินอย่างเฉพาะเจาะจงทีเดียว ทว่าเนื่องจากโดรนพวกนั้นบินช้าและบรรทุกวัตถุระเบิดได้ในปริมาณจำกัด การโจมตีจึงไม่ประสบความสำเร็จ

แต่ถ้าหากมีการใช้ โทมาฮอว์ก มันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขีปนาวุธร่อนชนิดนี้บินเร็วกว่าโดรนมากมายนัก เพราะมันติดตั้งเครื่องยนต์ไอพ่น พวกมันสามารถบินในระยะเรี่ยๆ พื้นดิน และสามารถเคลื่อนตัวยักเยื้องหลบหลีกฝ่าผ่านระบบป้องกันภัยทางอากาศตลอดจนเครื่องกีดขวางอื่นๆ รวมทั้งมีหัวรบแบบหัวเดียวติดตั้งวัตถุระเบิดแรงสูงหนัก 1,000 ปอนด์ ซึ่งสามารถทำลายพวกเป้าหมายที่มีความแข็งแกร่งมากๆ โดยก่อให้เกิดแรงระเบิดที่รุนแรงและเกิดสะเก็ดกระจัดกระจายซึ่งสามารถสังหารชีวิตภายในบริเวณกว้างใหญ่ทีเดียว ความสามารถเช่นนี้เองทำให้ทำเนียบเครมลินน่าจะเป็นเป้าหมายที่จะถูกฝ่ายยูเครนกำหนดเล็งใส่ เป็นลำดับต้นๆ



พูดโดยสรุป การจัดส่งโทมาฮอว์กไปให้แก่ยูเครน ก็คือมีเจตนาที่จะมอบสมรรถนะในการกำจัดคณะผู้นำและโครงสร้างการบังคับบัญชาของข้าศึก (decapitation capability) ให้แก่ยูเครนนั่นเอง ด้วยความตั้งใจที่จะผลักดันมอสโกให้ต้องยอมถอยออกมาจากสงครามคราวนี้

พวกนักวิจารณ์ให้ความเห็นผ่านสื่อ (คอมเมนเตเตอร์) จำนวนมาก รวมทั้งเหล่าบล็อกเกอร์ด้านการทหารชาวรัสเซียด้วย กำลังพยายามมาระยะหนึ่งแล้วที่จะพูดว่า โทมาฮอว์กไม่ได้เป็น “อาวุธวิเศษ” (อย่างที่เรียกกันเป็นภาษาเยอรมันว่า Wunderwaffe) [2] ทว่าการกล่าวเช่นนั้นคือการเข้าใจผิดเกี่ยวกับเจตนารมณ์เบื้องหลังการจัดหาจัดส่งอาวุธนี้ มาต่อสู้กับระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซีย (รวมไปถึงพวกเรดาร์ด้วย) ซึ่งยังไม่มีความแน่นอนว่า จะสามารถ หรือจะไม่สามารถ หยุดยั้งขีปนาวุธร่อนเหล่านี้

แท้ที่จริงแล้วมันเป็นกรณีที่ว่า การเสนอจัดหาจัดส่งโทมาฮอว์กให้แก่เคียฟ เป็นเรื่องซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายที่อาจจะก่อให้เกิดความวิบัติหายนะติดตามมา ถ้าหากสันนิษฐานว่าปูตินจะสามารถรอดชีวิตจากการโจมตีดังกล่าวได้ รัสเซียนั้นมีสมรรถนะทางนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธีที่ล้ำลึก [3] และการใช้โทมาฮอว์กโจมตีแบบมุ่งกำจัดผู้นำ ย่อมสามารถนำไปสู่การขยายตัวบานปลายทางนิวเคลียร์อย่างชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้อย่างไม่ยากเย็นเลย ทั้งนี้มีการเตือนให้ประธานาธิบดีทรัมป์รับทราบอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วหรือยัง เป็นสิ่งที่ไม่ชัดเจน

ขณะที่ทรัมป์นั้นยังพูดเอาไว้อย่างแจ่มแจ้งว่า ถ้าหากมีการจัดหาจัดส่งโทมาฮอว์กให้แก่ยูเครนจริงๆ แล้ว มันก็จะต้องมีชาวยูเครนเป็นผู้ใช้อาวุธนี้ ไม่ใช่สหรัฐฯ นี่เท่ากับปล่อยให้เรื่องความบานปลายขยายตัวที่อาจเกิดขึ้น เป็นสิ่งซึ่งอยู่ในมือของฝ่ายยูเครน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำให้สามารถกล่าวอ้างเช่นนี้ได้

อย่างไรก็ดี เมื่อวินิจฉัยจากทัศนะมุมมองของรัสเซียแล้ว แง่มุมตรงนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะมีน้ำหนักช่วยอะไรได้ใหญ่โตหรอก เนื่องจากถึงยังไงความจริงก็มีอยู่ว่า เพื่อใช้งานโทมาฮอว์กได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการรวบรวมข่าวกรองและจัดทำแผนที่เส้นทางเข้าโจมตีอย่างระมัดระวัง ซึ่งเรื่องนี้ไกลเกินกว่าที่สมรรถนะของยูเครนจะกระทำได้ ทั้งนี้การจัดทำแผนที่กำหนดเส้นทางเข้าโจมตี ยังจะต้องมีการหาทางปกปิดการเคลื่อนที่ของโทมาฮอว์กขณะเข้าไปใกล้เป้าหมายโจมตีที่กำหนดเอาไว้ รวมทั้งต้องสามารถระบุจำแนกภัยคุกคามที่มาจากระบบป้องกันภัยทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเรดาร์

ดังนั้นในเวลาปฏิบัติการจริงๆ มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่า นอกจากจำเป็นต้องมีการจัดทำแผนที่และภาพการเข้าโจมตีแล้ว ยังจำเป็นต้องมีทำภารกิจด้านการรบกวนสัญญาณและอย่างอื่นๆ อีกเพื่อสกัดขัดขวางมาตรการตอบโต้ของฝ่ายรัสเซีย พูดง่ายๆ จะต้องอาศัยเครื่องบินพิเศษของสหรัฐฯซึ่งมีความสามารถในการรบกวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของข้าศึกภายในพิสัยทำการที่เหมาะสม เข้ามาสนับสนุนการปฏิบัติการของโทมาฮอว์ก

หนึ่งในเครื่องบินพิเศษของสหรัฐฯดังที่ว่ามานี้ ได้แก่ อีเอ-37บี คอมแพสส์คอลล์ (EA-37B Compass Call) ภารกิจหลักของเครื่องบินสงครามอิเล็กทรอนิกส์คอมแพสส์คอลล์ คือการก่อกวนการติดต่อสื่อสารเพื่อการบังคับบัญชาและการควบคุม [4], ระบบเรดาร์ [5], และระบบนำร่องต่างๆ, รวมทั้งการขัดขวางการร่วมมือประสานงานกันของฝ่ายข้าศึกให้ได้มากที่สุด โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจตอบโต้การบังคับบัญชา, การควบคุม, คอมพิวเตอร์, การติดต่อสื่อสาร, ไซเบอร์, การข่าวกรอง, การติดตามสอดแนม, และการตรวจการณ์เพื่อการระบุเป้าหมาย (Counter-Command, Control, Computers, Communications, Cyber, Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance Targeting หรือเรียกย่อๆว่า C5ISRT)
(หมายเหตุผู้แปล – เกี่ยวกับเครื่องบินสงครามอิเล็กทรอนิกส์ อีเอ-37บี คอมแพสส์คอลล์ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/L3Harris_EA-37B_Compass_Call)

ทำไมสหรัฐฯจึงล้มเลิกความคิดจัดส่งโทมาฮอว์กให้ยูเครน

สหรัฐฯถอยออกมาจากข้อตกลงเรื่องโทมาฮอว์ก –อย่างน้อยที่สุดก็ในเวลานี้— ด้วยความหวั่นเกรงว่ามันจะเกิดการบานปลายขยายตัว และหันมาใช้มาตรการลงโทษแซงก์ชั่นพวกบริษัทรัฐวิสาหกิจน้ำมันรายหลัก ๆของรัสเซียแทน โดยที่การแซงก์ชั่นเหล่านี้อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (Office of foreign asset controls) ซึ่งสังกัดอยู่กับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ

บางส่วนของคำแถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ [6] เขียนเอาไว้ดังนี้:

วันนี้ สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (OFAC) ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กำลังบังคับใช้มาตรการแซงก์ชั่นเพิ่มเติมขึ้นอีก โดยเป็นผลจากการที่รัสเซียขาดไร้ความมุ่งมั่นจริงจังต่อกระบวนการสันติภาพเพื่อยุติสงครามในยูเครน การลงมือดำเนินการในวันนี้เป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อภาคพลังงานของรัสเซีย และลดระดับความสามารถของทำเนียบเครมลินในการระดมหารายรับสำหรับใช้จ่ายในเครื่องจักรสงครามของตน ตลอดจนสำหรับใช้สนับสนุนเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงมากของตน สหรัฐฯจะยังใช้ความพยายามต่อไปในการเรียกร้องสนับสนุนให้มีการใช้หนทางแก้ไขอย่างสันติเพื่อยุติสงครามสงครามครั้งนี้ และสันติภาพอย่างถาวรนั้นย่อมขึ้นต่ออย่างสิ้นเชิงกับความปรารถนาของรัสเซียในการดำเนินการเจรจาด้วยความจริงใจ กระทรวงการคลังจะยังคงใช้อำนาจต่างๆ ของตนต่อไปในการสนับสนุนกระบวนการสันติภาพ

“เวลานี้เป็นเวลาที่จะต้องยุติการเข่นฆ่าสังหาร และเพื่อไปสู่การหยุดยิงกันในทันที” นี่เป็นคำกล่าวของรัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ “พิจารณาจากการที่ประธานาธิบดีปูตินปฏิเสธไม่ยอมยุติสงครามที่ไร้สติครั้งนี้ กระทรวงการคลังจึงกำลังแซงก์ชั่นบริษัทน้ำมันใหญ่ที่สุด 2 แห่งของรัสเซีย ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนให้แก่เครื่องจักรสงครามของทำเนียบเครมลิน กระทรวงการคลังกำลังเตรียมพร้อมที่จะดำเนินปฏิบัติการต่อไปอีกถ้าหากจำเป็น เพื่อสนับสนุนความพยายามของประธานาธิบดีทรัมป์ในการยุติสงครามอีกสงครามหนึ่ง เราเรียกร้องส่งเสริมให้บรรดาพันธมิตรของเราเข้าร่วมมือกับเราในการแซงก์ชั่นเหล่านี้และในการปฏิบัติตามมาตรการแซงก์ชั่นเหล่านี้”


การตอบโต้ของรัสเซียต่อการแซงก์ชั่นคราวนี้ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกริ้วโกรธ โดยที่มีพวกผู้นำรัสเซียบางคนถึงขนาดพูดว่า รัสเซียเวลานี้กำลังอยู่ในภาวะทำสงครามอยู่กับสหรัฐฯ [7] อย่างไรก็ดี ปฏิกิริยาเบื้องต้นเช่นนี้ไม่ได้ยืนยาวอะไรนัก และรัสเซียก็ได้มีความพยายามที่จะลดทอนน้ำหนักของการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ด้วย

โฆษกหญิงของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา (Maria Zakharova) กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า “มาตรการแซงก์ชั่นครั้งใหม่ที่ประกาศออกมาโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯเพื่อเล่นงาน รอสเนฟต์ (Rosneft) และ ลุคออยล์ (Lukoil) (2 บริษัทรัฐวิสาหกิจด้านน้ำมันยักษ์ใหญ่ของแดนหมีขาว) จะไม่สามารถสร้างปัญหาให้แก่รัสเซีย ซึ่งได้พัฒนาภูมิคุ้มกันอันแข็งแกร่งขึ้นมาต่อสู้กับมาตรการจำกัดกีดกั้นเช่นนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม มาตรการเช่นนี้เป็นการส่งสัญญาในทางไม่เกิดผลดีอะไรออกมา ซึ่งก็รวมทั้งเมื่อพิจารณาจากทัศนะมุมมองของการหาทางทำความตกลงในเรื่องยูเครนด้วย”

เราไม่อาจทราบด้วยความแน่ใจหรอกว่า เกิดอะไรขึ้นในช่วงระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์ที่ถูกระบุว่า “เป็นไปด้วยดี” ระหว่าง ปูติน กับ ทรัมป์ กับการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่าง ลาฟรอฟ กับ รูบิโอ ในวันที่ 20 ตุลาคม

มีคำอธิบายที่แตกต่างกัน ซึ่งชี้ชวนว่าอาจเป็นไปได้ อยู่หลายๆ ประการ

ประการแรกคือ มีความสับสนระหว่างสิ่งที่ทรัมป์คิดว่าเขาได้ยินปูตินพูดให้เขาฟัง กับสิ่งที่ปูตินอาจจะพูดออกมาจริงๆ ทั้งนี้ มันไม่ได้มีบันทึกการสนทนากันทางโทรศัพท์นาน 2 ชั่วโมงระหว่างผู้นำทั้งสองในคราวนั้น เผยแพร่ออกมาให้สืบค้นกันได้

มีแต่การแสดงความเห็นจากทรัมป์ภายหลังจากนั้นโดยที่ทรัมป์บอกว่า เขามองเห็นเรื่องการหยุดยิงตลอดจนเรื่องข้อตกลงเกี่ยวกับดินแดน คือสิ่งที่น่าจะทำให้สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ กับรัสเซียได้ ทั้งนี้ ใครๆ ย่อมสามารถทึกทักเอาว่า คำพูดเช่นนี้ของเขา มีแรงผลักดันจากการสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเขากับปูติน

ไม่นานหลังจากการพูดคุยทางโทรศัพท์คราวนี้ พวกโฆษกของทำเนียบเครมลินหลายต่อหลายคน และติดตามมาด้วยการวิจารณ์แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณชนโดยลาฟรอฟ ก็ได้ทำให้เป็นที่ชัดเจนว่ารัสเซียจะไม่ยอมรับการหยุดยิงที่ไม่ได้มีการแก้ไขคลี่คลายประเด็นปัญหาอื่นๆ กับยูเครนไปด้วย (เป็นต้นว่าเรื่องดินแดน, การทหาร, และการเมือง) ทำไมเครมลินต้องออกมาใช้วิธีการเช่นนี้ในการเน้นย้ำให้ทราบถึงความเข้าใจเกี่ยวกับการหยุดยิงของพวกเขา?

เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะสันนิษฐานว่า ทำเนียบเครมลินทราบอยู่แล้วว่าการสนทนาระหว่างทรัมป์กับปูตินนั้น จะด้วยเหตุใดก็ตามที ได้ถูกตีความผิดจากทางวอชิงตัน และทำให้วอชิงตันคาดหวังว่าจะมีการหยุดยิง แล้วจากนั้นก็จะมีการเจรจาในเรื่องการดำเนินการกับสงครามยูเครน

แนวคิดที่ว่าเกิดจากการตีความผิดนี้ ดูจะมีความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย ทว่ามันยังคงมีความเป็นไปได้อย่างอื่นๆ อีก หนึ่งในนั้นได้แก่ จริงๆ แล้วปูตินได้ทำความตกลงกับทรัมป์ไปในตอนต้น แต่ถูกทักท้วงต่อต้านหนักจากพวกหน่วยงานความมั่นคง รวมทั้งกองทัพรัสเซีย ซึ่งบางทีอาจจะแจ้งให้เขาทราบว่า พวกเขาจะต้องประสบกับการเพลี่ยงพล้ำอย่างสาหัสทีเดียวถ้าหากพวกเขายินยอมออกคำสั่งยุติการปฏิบัติการในทันที

ทำนองเดียวกัน ความเป็นไปได้ที่ดูมีเหตุมีผลอีกอย่างหนึ่งคือ ทรัมป์ถูกท้กท้วงต่อต้านจากทางยุโรป โดยที่บางส่วนของเสียงคัดค้านนี้มีการสะท้อนออกมาในข้อเขียนซึ่งเผยแพร่ทางสื่อใหญ่ๆ ของยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อที่ได้รับความเชื่อถือมากอย่าง ไฟแนนเชียลไทมส์ นอกจากนั้นน่าสังเกตว่า มาร์ก รึตเตอ (Mark Rutte) เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ก็ได้เร่งรีบดำเนินการให้ตัวเองสามารถเดินทางมายังกรุงวอชิงตันได้อย่างด่วนจี๋ ด้วยเหตุนี้มันจึงสามารถเป็นไปได้ด้วยเช่นกันว่า แทนที่จะเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันอาจจะมาจากการมีความเข้าใจจนมากเกินไปก็ได้



น่าสังเกตว่าในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ มี “ใครบางคน” เปิดการโจมตีเล่นงานพวกโรงกลั่นน้ำมันของฮังการีและของโรมาเนีย โดยในช่วงคืนวันที่ 20 ย่างเข้าวันที่ 21 ตุลาคม 2025 ได้เกิดการระเบิดขึ้นที่โรงกลั่นน้ำมัน MOL ในเมืองซอซฮาลอมบัตตา (Százhalombatta) ประเทศฮังการี (MOL เป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซยักษ์ใหญ่ของฮังการี ขณะที่โรงกลั่นในซอซฮาลอมบัตตา ก็เป็นโรงกลั่นใหญ่ที่สุดของประเทศนี้) ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงในวันที่ 20 ตุลาคม ได้เกิดการระเบิดขึ้นที่โรงกลั่นน้ำมันลุคออยล์ ในเมืองโพรเยซที (Ploieşti) ประเทศโรมาเนีย

โรงกลั่นน้ำมันเหล่านี้ทำหน้าที่แปรรูปน้ำมันที่ส่งมาทางสายท่อส่งน้ำมัน ดรูซบา (Druzhba pipeline) ก่อนหน้านี้ ยูเครนได้เข้าโจมตีสายท่อส่งน้ำมันดรูซบา ส่วนที่อยู่ในรัสเซียมาแล้วหลายครั้งโดยใช้โดรน และมีรายงานว่าทำให้เกิดไฟไหม้ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างสำคัญให้แก่สถานีสูบน้ำมันแห่งหนึ่งในแคว้นเบรียสก์ เวลาใกล้เคียงกัน ฝูงโดรนของยูเครนยังเข้าโจมตีโรงกลั่นน้ำมันแห่งใหญ่ที่สุดของรัฐวิสาหกิจน้ำมันรัสเซีย รอสเนฟต์ (Rosneft) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเรียซัน (Ryazan) [8] ในแดนหมีขาว –ถือเป็นการโจมตีใส่สถานที่สำคัญมากแห่งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน



การโจมตีฮังการีต้องถือว่ามีความสำคัญทางการเมือง เนื่องจากฮังการีได้รับการอ้างอิงว่าจะเป็นสถานที่จัดประชุมซัมมิตทรัมป์-ปูติน นั่นคือที่กรุงบูดาเปสต์ ก่อนหน้าการโจมตีเหล่านี้ไม่นาน โปแลนด์ได้ออกมาแถลงว่า ถ้าหากเครื่องบินของปูตินมุ่งหน้าไปยังบูดาเปสต์โดยบินข้ามเขตน่านฟ้าของโปแลนด์แล้ว ก็จะถูกบังคับให้ต้องลงจอดและปูตินก็จะถูกจับกุม [9]

มองไปข้างหน้า

กองทัพรัสเซียกำลังสร้างได้คืบหน้าได้เพียงเล็กน้อยในยูเครน และไม่ได้ใกล้เคียงกับความเพียงพอที่จะบีบบังคับให้ฝ่ายยูเครนต้องยินยอมอ่อนข้อ (ถ้าหากว่า สามารถที่จะบีบบังคับพวกเขาให้โอนอ่อนได้จริงๆ แม้กระทั่งภายใต้สถานการณ์เลวร้ายอย่างที่สุด) เวลานี้รัสเซียยังคงพยายามโจมตีพวกโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนต่อไป รวมทั้งพวกเป้าหมายทางทหารที่อยู่ลึกเข้าไปภายในยูเครนบางแห่งด้วย ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบในบางระดับ ทว่ายังห่างไกลจากความเพียงพอที่จะบีบบังคับให้พวกผู้นำของยูเครนอ่อนข้อยอมประนีประนอมใดๆ กับรัสเซีย

บางทีอาจจะเป็นเพราะความรู้สึกหงุดหงิดผิดหวังอย่างล้ำลึกในหมู่ชั้นชนต่างๆ ทางการเมืองของรัสเซียนี่เอง ซึ่งนำไปสู่การที่ปูตินโทรศัพท์ไปหาทรัมป์ตั้งแต่ตอนต้น และนำเอาข้อเสนอเบื้องต้นวางบนโต๊ะเจรจา ข้อเสนอที่ว่านี้ก็คือการหยุดยิงโดยพ่วงอยู่กับการอ่อนข้อเรื่องดินแดน ซึ่งจะต้องทำให้เกิดมาก่อนโดยถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำข้อตกลง และนี่คือสิ่งที่รายงานเอาไว้โดยไฟแนนเชียลไทมส์ อย่างไรก็ดี ทรัมป์ตีความแตกต่างออกไป โดยคิดว่าการหยุดยิงจะต้องมาเป็นอันดับแรก

สงครามคราวนี้สามารถลากยาวออกไปได้ ทว่าฝ่ายรัสเซียต้องวินิจฉัยตัดสินให้แน่นอน เพื่อให้ตัวเองมั่นใจว่า จริงๆ แล้วพวกเขาสามารถชนะในสงครามนี้ได้หรือไม่ หรือว่าจะลดความเอิกเกริกลงมา และเอาแค่ประคับประคองสิ่งที่พวกเขาสามารถยึดเอาไว้ได้จนถึงเวลานี้ ปัญหาของการประคองตัวเอาไว้ก็คือว่า มันจะนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งนำไปสู่ค่าใช้จ่ายต่างๆ ทางเศรษฐกิจซึ่งรัสเซียไม่สามารถแบกรับเอาไว้ได้ต่อไปนานนัก

ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ การประคองตัวเอาไว้หมายความว่าความลำบากยุ่งยากในระดับระหว่างประเทศของรัสเซียจะยิ่งเพิ่มพูนทวีคุณ และภาคการพาณิชย์ของแดนหมีขาวก็จะยังคงมีผลประกอบการที่เลวร้ายต่อไปอีก สหรัฐฯกำลังสามารถเจาะเข้าไปเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นในอินเดีย หลังจากทำได้อย่างย่ำแย่ในตอนเริ่มต้น ส่วนจีนก็ดูเหมือนอยู่ในอาการกำลังลังเล [10] ขณะที่มีรายงานว่าแดนมังกรอาจจะกำลังเผชิญหน้ากับการท้าทายคณะผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใดก็ตามที ผู้เขียนมีความเห็นว่าความมุ่งมั่นตั้งใจของจีนที่จะหนุนหลังรัสเซียนั้น กำลังเป็นสิ่งที่เปิดกว้างให้แก่การตั้งคำถามแสดงความสงสัยข้องใจอย่างจริงจัง

แนวคิดแบบมุ่งมองภาพใหญ่แนวคิดหนึ่งเสนอว่า รัสเซียกำลังพยายามที่จะสนับสนุนเส้นแนวหน้าที่ยาวเหยียดเอามากๆ โดยใช้กองทัพที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก (สูงสุดคือมีกำลังทหาร 700,000 นาย) ซึ่งหมายความฝ่ายรัสเซียไม่สามารถระดมกำลังพลอย่างมหาศาลเพื่อเข้าโจมตีพวกศูนย์บัญชาการทางการเมืองและทางทหารของยูเครนได้ จนถึงเวลานี้ยังไม่มีสิ่งใดเลยที่จะบ่งชี้ให้เห็นว่ากำลังมการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสมการทางยุทธการเช่นนี้ ในรัสเซียยังไม่มีความเคลื่อนไหวยกระดับการเรียกระดมเกณฑ์ทหาร และพวกผู้นำของรัสเซียก็ดูไม่ได้ต้องการที่จะดำเนินการระดมกำลังพลอย่างมหึมาแต่อย่างไร เนื่องจากมันจะถูกตีความว่าคือการเตรียมตัวสำหรับการทำสงครามในขนาดขอบเขตกว้างขวางใหญ่โตยิ่งขึ้นในยุโรป รวมทั้งจะเป็นสิ่งซึ่งไม่เป็นที่นิยมชื่นชอบเอามากๆ ของประชาชนชาวรัสเซีย ซึ่งนี่คือการยอมรับของปูตินที่ว่า การผจญภัยในยูเครนนั้นกำลังกลายเป็นความเลวร้ายที่ดึงดูดผู้คนได้น้อยลงไปมาก

สหรัฐฯนั้นมีอะไรต้องเสียน้อยกว่านักหนา และยังคงสามารถจัดหาจัดส่งอาวุธไปให้แก่ยูเครนได้ต่อไปโดยใช้ทรัพยากรต่างๆ ของทางยุโรป แต่วอชิงตันก็ยังต้องคอยระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงก้าวเดินที่เป็นการก้าวไกลเกินไป รวมทั้งจำเป็นต้องทำให้ประตูยังคงเปิดกว้างเอาไว้เสมอเพื่อการเจรจาต่อไปกับทางรัสเซีย อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอได้ชี้ [11] เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ยังคงมีปัจจัยซึ่งทำนายล่วงหน้าไม่ได้อีกเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นได้แก่รัสเซียจะก้าวเดินก้าวต่อไปอย่างไรหรือไม่ ซึ่งจะเร่งรัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายขึ้นในวอชิงตัน นอกจากนั้นแล้ว ปัจจัยที่ไม่แน่นอนอย่างอื่นๆ น่าจะเป็นการกระทำต่างๆ ในทางส่งเสริมสนับสนุนของยุโรป ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในระดับกว้างขวางยิ่งขึ้น

สหรัฐฯจะต้องคอยหวั่นเกรงเอาไว้ว่า พวกประเทศยุโรป ซึ่งบางรายมีเศรษฐกิจที่กำลังจมดิ่งย่ำแย่และมีผู้นำซึ่งไม่เป็นที่นิยมของประชาชน อาจจะลงมือปฏิบัติการเล่นงานรัสเซียหรือพวกพันธมิตรของรัสเซีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เบลารุส) [12] หรือผลักดัน มอลโดวา ให้เข้าทำสงครามปราบปรามแคว้นทรานส์นีสเตรีย (Transnistria) ที่ได้ประกาศแยกตัวออกไปเป็นเอกราช ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ต่างก็จะสามารถทำให้การสู้รบขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันยิ่งบานปลายขยายตัว มันเป็นคำถามเปิดกว้างที่ว่า วอชิงตันมีความตระหนักรับรู้กับการกระทำต่างๆ เหล่านี้บ้างหรือไม่ หรือบางทีกระทั่งอาจจะให้ความสนับสนุนการกระทำเหล่านี้บางอย่างด้วยซ้ำไป อย่างเช่นการที่นาโต้กำลังสั่งสมอาวุธเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในมอลโดวา [13]

สำหรับตอนนี้ การพบปะกันระหว่างทรัมป์กับปูตินไม่น่าที่จะเกิดขึ้นมาได้แล้ว และการเจรจาต่อรองกันก็จะไม่เกิดขึ้นมาเช่นกันจนกว่าฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสู้รบขัดแย้งกันครั้งนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างสำคัญ

สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสของเอเชียไทมส์ และเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมฝ่ายนโยบายของสหรัฐฯ ข้อเขียนชิ้นนี้ทีแรกสุดปรากฏอยู่บนจดหมายข่าว Weapons and Strategy ในแพลตฟอร์ม Substack ของเขา

เชิงอรรถ
[1] https://on.ft.com/3Jf9zea
[2] https://www.france24.com/en/live-news/20251016-wonder-weapon-five-things-about-us-tomahawks-coveted-by-ukraine
[3] https://thebulletin.org/premium/2025-05/russian-nuclear-weapons-2025/?gad_source=1&gad_campaignid=22829880916&gbraid=0AAAAAC3qOh89zON_14ojmXpiqOi0oHCMd&gclid=CjwKCAjwpOfHBhAxEiwAm1SwEvU7neAtK0CflKxsvfjX7ztdeDUZesoPi8CX6RRR-NI55gp_-xvSkxoCR6MQAvD_BwE
[4] https://en.wikipedia.org/wiki/Command_and_control
[5] https://en.wikipedia.org/wiki/Radar
[6] https://home.treasury.gov/news/press-releases/sb0290
[7] https://thehill.com/policy/international/5569710-russia-medvedev-trump-war-path/
[8] https://kyivindependent.com/explosions-reported-in-ryazan-russia-amid-alleged-drone-strike-on-oil-refinery/
[9] https://www.yahoo.com/news/articles/poland-warned-putin-plane-forcibly-002740309.html
[10] https://www.foxbusiness.com/video/6383368170112
[11] https://newsukraine.rbc.ua/news/us-state-secretary-makes-statement-on-talks-1761220792.html
[12] https://sldinfo.com/2025/10/the-poland-belarus-border-closure-its-global-impact/
[13]https://www.themoscowtimes.com/2025/09/23/russian-spy-agency-claims-eu-conspiring-to-occupy-moldova-with-nato-troops-a90595
กำลังโหลดความคิดเห็น