พวกผู้เชี่ยวชาญฟันธง ปีนี้ยังไม่ใช่เวลาของทรัมป์ แม้เจ้าตัวอยากได้โนเบลสันติภาพจนตัวสั่น และพร่ำพรรณาผลงานที่ทำมาว่าคู่ควรอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดี เสียงวิพากษวิจารณ์ยังดังสนั่นว่า นโยบายหลายอย่างของประมุขทำเนียบขาวขัดกับเจตนารมณ์ของรางวัลนี้ อาทิ การเปิดสงครามการค้ากับชาติพันธมิตรและศัตรู การขู่ใช้กำลังยึดกรีนแลนด์ การส่งทหารเข้าปราบปรามอาชญากรรมในเมืองต่างๆ ของอเมริกา และการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
คณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยรัฐสภานอร์เวย์ มีกำหนดประกาศชื่อผู้ชนะรางวัลนี้ประจำปี 2025 ในวันศุกร์ (10 ต.ค.) นี้ เวลา 11.00 น. (16.00 น. ตามเวลาไทย)
เยอร์เกน วอตเนอ ฟรีดเนส ประธานคณะกรรมการ บอกว่า การพิจารณาให้รางวัล จะดูถึงภาพรวมของผู้ได้รับการเสนอชื่อแต่ละคน ซึ่งอาจจะเป็นตัวบุคคลหรือเป็นองค์การก็ได้ โดยประเด็นที่สำคัญเป็นอันดับแรกคือผลงานการดำเนินการเพื่อสันติภาพ ทั้งนี้สำหรับปีนี้มีบุคคลและองค์การได้รับการเสนอชื่อ 338 ราย ทว่าไม่มีการประกาศชื่อออกมา โดยตามกฎเกณฑ์ของคณะกรรมการ จะมีการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเป็นเวลา 50 ปี
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ย้ำมาตลอดว่า ตนเองสมควรได้รับรางวัลดังกล่าว ค่าที่ช่วยคลี่คลายความขัดแย้งถึง 7 กรณี ทว่า ผู้เชี่ยวชาญหลายคนทำนายว่า ทรัมป์น่าจะผิดหวัง อย่างน้อยที่สุดในปีนี้
ปีเตอร์ วอลเลนสตีน ศาสตราจารย์ชาวสวีเดนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า ผู้ชนะโนเบลสันติภาพปีนี้ไม่น่าใช่ทรัมป์ แต่ปีหน้าไม่แน่ เพราะถึงตอนนั้นแผนการริเริ่มหลายอย่างของผู้นำสหรัฐฯ เช่น วิกฤตกาซา สถานการณ์อาจเข้าที่เข้าทางจนมองเห็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวกันได้อย่างชัดเจนแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนมองว่า การที่ทรัมป์อ้างว่า ตนเองเป็นผู้สร้างสันติภาพในกรณีจำนวนมากนั้น เป็นแค่การคุยโวโอ้อวด พร้อมแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายสำคัญของทรัมป์ นั่นคือ นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน”
นีนา เกรเกอร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสันติภาพแห่งออสโล ชี้ว่า นอกจากการพยายามเป็นตัวกลางผลักดันสันติภาพในกาซาแล้ว นโยบายหลายอย่างของทรัมป์กลับขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของอัลเฟรด โนเบล ผู้ก่อตั้งรางวัลโนเบล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ภราดรภาพ และการปลดอาวุธ
เกรเกอร์เสริมว่า การกระทำของทรัมป์ที่ขัดกับอุดมคติของโนเบลสันติภาพมีมากมายเป็นหางว่าว
เอเอฟพีระบุว่า การกระทำเหล่านั้นมีตั้งแต่การนำอเมริกาถอนตัวจากองค์การระหว่างประเทศและสนธิสัญญาพหุภาคี การเปิดสงครามการค้ากับชาติพันธมิตรและศัตรู การขู่ใช้กำลังยึดกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก การส่งทหารจากกองกำลังป้องกันประเทศเข้าสู่เมืองต่างๆ ของอเมริกา รวมทั้งการโจมตีเสรีภาพของนักวิชาการมหาวิทยาลัยและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เห็นกันว่า การที่ทรัมป์ปรารถนาจะได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ ถึงขึ้นเป็นความหมกมุ่น มาจากความต้องการได้รับการยกย่องเชิดชูจากทั่วโลกในฐานะ “ผู้นำการสร้างสันติภาพ” อีกทั้งเพื่อแข่งขันกับอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต
การ์เร็ต มาร์ติน ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยอเมริกัน ในกรุงวอชิงตัน บอกว่า นับจากเริ่มสานฝันในการเป็นประธานาธิบดีอเมริกาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทรัมป์ประกาศตัวเป็นคู่แข่งกับโอบามาที่คว้าโนเบลสันติภาพในปี 2009 หรือเพียง 9 เดือนหลังเข้าสู่ทำเนียบขาว
ในการปรากฏตัวต่อสาธารณชนช่วงไม่กี่สัปดาห์นี้ แทบไม่มีสักครั้งที่ทรัมป์จะไม่อวดอ้างความสำเร็จในการยุติ 7 สงคราม ได้แก่ ไทยกับกัมพูชา โคโซโวกับเซอร์เบีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกกับรวันดา ปากีสถานกับอินเดีย อิสราเอลกับอิหร่าน อียิปต์กับเอธิโอเปีย และอาร์เมเนียกับอาเซอร์ไบจาน ทั้งที่การอวดอ้างเหล่านั้นหลายกรณีไม่ถูกต้องหรือไม่เช่นนั้นทรัมป์ก็แค่มีบทบาทเป็นบางส่วนเท่านั้น มิหนำซ้ำเมื่อเดือนมิถุนายน เขายังสั่งทิ้งระเบิดถล่มโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่เขาอ้างว่า ช่วยเหลือให้ยุติสงครามกับอิสราเอล
แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ สงครามใหญ่จริงๆ ในกาซาและในยูเครน ซึ่งทรัมป์ให้สัญญาว่า จะทำให้ยุติลงภายในไม่กี่วันหลังรับตำแหน่ง ทว่า แม้ผ่านมา 9 เดือนแล้ว คำสัญญาดังกล่าวยังคงไม่เป็นผล
ทรัมป์เองบางครั้งดูเหมือนยอมรับว่า คงไม่มีทางได้เป็นแคนดิเดตชิงโนเบลสันติภาพ และกล่าวโทษว่าเป็นเพราะการมีอคติต่อตัวเขา ตัวอย่างเช่น ระหว่างปราศรัยต่อหน้านายทหารระดับสูงหลายร้อยนายเมื่อเดือนที่ผ่านมา เขาบอกว่า คณะกรรมการโนเบลมักมอบรางวัลให้คนที่แทบไม่เคยทำอะไรเลย
ทว่า ในงานเดียวกัน เขากลับประกาศว่า ถ้าตัวเองไม่ได้รางวัลนี้จะถือเป็นการดูหมิ่นอเมริกาอย่างร้ายแรง และบอกว่า ไม่ได้อยากได้โนเบล แต่อยากให้ประเทศได้รับการยอมรับมากกว่า
(ที่มา: เอเอฟพี, MGRonline)