xs
xsm
sm
md
lg

PLANET#3 ลูกบ้าเที่ยวล่าสุดของ‘ทรัมป์’: ปธน.อเมริกันบล็อกขบวนรถ ปธน.มาครงให้ติดค้างกลางถนนในนิวยอร์ก จนประมุขฝรั่งเศสต้องเดินกลับสถานกงสุล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“เอ็กซ์กูเซ-มัว!!” ขออภัยอะนะ แต่นี่เป็นโมเมนต์น่าขายหน้าขั้นสุด: ณ ถนนด้านนอกของอาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในเวลาเย็นย่ำของมหานครนิวยอร์ก ขบวนรถประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา บล็อกไม่ให้ขบวนรถของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสเดินทางกลับสู่สถานกงสุลใหญ่ฝรั่งเศสประจำนครนิวยอร์ก หลังจบการประชุมซัมมิตยูเอ็นว่าด้วยการสนับสนุนให้ใช้ “แนวทาง 2 รัฐ” แก้ปัญหาตะวันออกกลาง หรือเรียกกันเข้าใจง่ายๆ ว่า การประชุมสนับสนุนรัฐปาเลสไตน์ ซึ่งมีฝรั่งเศสและซาอุดิอาระเบียร่วมกันเป็นเจ้าภาพ เมื่อจันทร์ที่ 22 กันยายน 2025 หนึ่งวันก่อนที่จะเริ่มประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 80 เดลิเมลออนไลน์รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวที่เสมือนว่าจะเหลือเชื่อ แต่ในเมื่อ นี่เป็นยุคสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งคิดว่าตนเองเป็นพ่อทุกสถาบัน สารพันสิ่งเหลือเชื่อก็ดาหน้ากันอุบัติขึ้นมาใหม่ๆ ได้เรื่อยๆ ทั้งนี้ เดลิเมลออนไลน์ระบุด้วยว่า ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง กดโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ลงท้ายก็กลายเป็นว่าประมุขของประเทศ ผู้อยู่ในวัยทรหดอดทน 47 กะรัตของชาวเมืองน้ำหอม ต้องตัดสินใจออกเดินพร้อมทีมรปภ. เพื่อกลับไปสถานกงสุลใหญ่ฝรั่งเศส ให้ทันเวลานัดประชุมกับเลขาธิการใหญ่ยูเอ็น ทั้งนี้ ภาพซ้ายเป็นโมเมนต์ที่ประธานาธิบดีมาครงคุยโทรศัพท์กับประธานาธิบดีทรัมป์ ส่วนภาพขวาจะเกิดขึ้นก่อนภาพซ้าย กล่าวคือ ประธานาธิบดีมาครงออกจากรถยนต์ของสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส และพยายามเจรจาขอความอนุเคราะห์จากทีมตำรวจแห่ง NYPD แต่ไม่สำเร็จ
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสถูกหยามเกียรติอย่างหนักขณะปฏิบัติภารกิจในนครนิวยอร์ก ชนิดที่ว่าไม่เห็นแก่หน้าค่าชื่อกันเลยทีเดียว เมื่อขบวนรถของ “แอมานุแอล มาครง” ซึ่งเดินทางกลับออกจากอาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ หลังเสร็จสิ้นการประชุมซัมมิตยูเอ็นว่าด้วยการระดมความสนับสนุนการแก้ไขความขัดแย้งในตะวันออกกลางผ่าน “แนวทาง 2 รัฐ” ซึ่งคือให้จัดตั้งทั้งรัฐปาเลสไตน์กับรัฐอิสราเอลอยู่เคียงคู่กัน และมาครงยังใช้โอกาสนี้ประกาศให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ เมื่อวันจันทร์ที่ 22 กันยายน 2025 ได้ถูกทีมจราจรของตำรวจนิวยอร์กสกัดให้หยุดรอและค้างคาอยู่บนถนนไปเรื่อยๆ จนกว่าขบวนรถของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้เป็นประธานาธิบดีเจ้าถิ่น จะแล่นผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยโดยไม่ทราบว่าจะกี่โมง รายงานของเดลิเมลออนไลน์ให้ข้อมูลอย่างนั้น

พร้อมนี้ เดลิเมลออนไลน์นำเสนอคลิปเหตุการณ์โกลาหลหัวใจ ที่ประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศสกริ๊งๆ ไปยังโทรศัพท์มือถือของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะทั้งสองก็สนิทสนมกันมานานปี ตั้งแต่ยุคทรัมป์ 1

“ทายสิครับว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ผมติดค้างอยู่บนถนน เพราะการจราจรถูกหยุดไว้ทั้งหมดเพื่อรอเปิดทางให้ขบวนรถของท่านแล่นผ่าน” ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง แจ้งทราบและขอความช่วยเหลือไปยังประธานาธิบดีทรัมป์โดยตรง เดลิเมลออนไลน์รายงาน

ในสถานการณ์ป่วนหัวใจที่ขบวนรถของประธานาธิบดีมาครงถูกสกัดให้จอดรอแน่นิ่งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กบอกว่า

“ขออภัยจริงๆ ครับท่านประธานาธิบดี ตอนนี้การจราจรทั้งหมดถูกระงับจนกว่าขบวนรถของประธานาธิบดีอเมริกันจะเคลื่อนตัวเสร็จเรียบร้อยครับ” เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวกับประธานาธิบดีมาครง ดังได้ยินชัดเจนทั่วหน้า

เมื่อประสบกับเรื่องเหลือเชื่อขนาดนั้น แอมานุแอล มาครง จึงลงมือแก้ปัญหาด้วยตนเอง เดลิเมลออนไลน์ให้รายละเอียดอย่างนั้น และรายงานว่าในคลิปวิดีโออีกหนึ่งคลิปที่ไวรัลไปทั่วอย่างรวดเร็ว มีภาพกับเสียงที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือโดยตรงกับประธานาธิบดีอเมริกัน

กระนั้นก็ตาม หลังจากหลายๆๆ นาทีแห่งการรอคอยให้คำสั่งจากประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาช่วยเคลียร์สถานการณ์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสวัยหนุ่มทรหด 47 กะรัต ก็ตัดสินใจชวนทีมรักษาความปลอดภัยออกเดิน เพราะตอนนั้นถนนเปิดแล้ว แต่เปิดเฉพาะแค่ให้ผู้คนเดินสัญจรได้ โดยยังบล็อกรถยนต์ให้ต้องติดค้างคาถนนไว้ดั่งเดิม

ภาพเพื่อยืนยันข่าว ที่เดลิเมลออนไลน์นำเสนอให้เห็นกันกระจะตาว่า ประธานาธิบดีฝรั่งเศสตัดสินใจลงมือแก้ปัญหาด้วยตนเอง คือก้าวลงจากรถและเจรจาขอความอนุเคราะห์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจของ NYPD แต่ไม่สำเร็จ และต้องยืนแกร่วอยู่ริมถนนนครนิวยอร์ก รอให้ขบวนรถของประธานาธิบดีทรัมป์เคลื่อนผ่านออกไปให้เรียบร้อย

ภาพซึ่งเดลิเมลออนไลน์แคปจากคลิปบนโซเชียลมีเดียเอ็กซ์ อันเป็นโมเมนต์ที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสติดค้างบนท้องถนนกลางนครนิวยอร์ก และกดโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากประธานาธิบดีอเมริกัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงไม่นานหลังจากที่ประธานาธิบดีมาครงเสร็จสิ้นภารกิจการจัดประชุมซัมมิตสนับสนุนรัฐปาเลสไตน์ และเดินทางออกจากอาคารสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ เมื่อเย็นย่ำวันจันทร์ที่ 22 กันยายน 2025

หลังจากหลายๆๆ นาทีแห่งการรอคอยให้คำสั่งจากประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาช่วยเคลียร์สถานการณ์ ประธานาธิบดีมาครงก็ตัดสินใจชวนทีมรักษาความปลอดภัยออกเดิน เพราะตอนนั้นถนนเปิดแล้ว แต่เปิดเฉพาะแค่ให้ผู้คนเดินสัญจรได้ โดยยังบล็อกรถยนต์ให้ต้องติดค้างคาถนนไว้ดั่งเดิม อย่างไรก็ตาม ระหว่างเดินด้วยสองเท้าแข็งแรงเพื่อรีบรุดกลับไปยังสถานกงสุลใหญ่ฝรั่งเศสประจำนครนิวยอร์ก ประธานาธิบดีมาครงก็คุยโทรศัพท์อธิบายคุณประโยชน์จากการรับรองรัฐปาเลสไตน์ ให้ประธานาธิบดีทรัมป์พิจารณา สื่อค่ายใหญ่ยักษ์ของฝรั่งเศส คือ ฟรานซ์ 24 รายงานอย่างนั้น

ประธานาธิบดีมาครง อดีตนักเรียนอัจฉริยะ มีผลการเรียนเลอเลิศ ได้เกรด A รวดเป็นประจำ และเป็นผู้ที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูง ใจคอหนักแน่น สามารถยิ้มแย้มแจ่มใสและถ่ายภาพที่ระลึกกับประชาชนได้อย่างครึกครื้น
และแล้ว คลิปที่ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ออกเดินไปในท่ามกลางผู้คนอันคลาคล่ำตามถนนของนครบิ๊กแอปเปิล ก็ถูกแชร์ว่อนเป็นไวรัลไปทั่วโลกโซเชียลมีเดีย

คำวิพากษ์เผ็ดร้อนพากันผุดขึ้นเกรียวกราวว่า ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเล่นเกมโชว์พาวอีกแล้ว เดลิเมลออนไลน์รายงานอย่างนั้น

“นั่นไม่ใช่เรื่องประสานงานสับสนมั่วๆ มันเป็นสัญญาณโชว์อำนาจแหละ การที่พวกผู้นำระดับโลกถูกสกัดให้ติดคาบนท้องถนน เพื่อให้ขบวนของทรัมป์วิ่งผ่านไปก่อนน่ะ มันบอกออกมาชัดๆ ทุกแง่มุมเลยว่า ใครกันแน่ที่เรียกร้องให้ทุกคนไปซูฮก” ผู้ใช้เอ็กซ์ทวิตเตอร์ฟาดไว้ตรงๆ

อีกคอมเมนต์หนึ่งบอกว่า “ประธานาธิบดีมาครงเลยต้องมาทราบว่า ใครกันแน่ที่สั่งการได้ทุกเรื่องในอเมริกา แม้กระทั่งนอกเวลาราชการ”

“หยามกันจริงๆ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสต้องติดแหง็กบนถนน ส่วนขบวนรถของทรัมป์วิ่งฉิวยังกับขบวนเสด็จของพระราชา” นี่เป็นคอมเมนต์ที่ 3 ที่เดลิเมลออนไลน์นำเสนอ ส่วนรายที่ 4 บอกว่า

“นี่ไม่ใช่กรณีผิดพลาดน่าอับอาย นี่เป็นการละเมิดพิธีการทูตเลยแหละ มันดูหมิ่นกันอย่างร้ายกาจ”

ชะตากรรมไม่สู้ดีที่เกิดขึ้นกับประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศสอาจเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยทีเดียว อาทิ การที่ประธานาธิบดีมาครงมีนโยบายให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความเห็นคัดค้านและเย้ยหยัน อันเป็นท่าทีอันสอดคล้องกับอาการอี๋อ๋อที่ทรัมป์มีให้กับอิสราเอล


คลิปเหตุการณ์ที่ประธานาธิบดีมาครงถูกประธานาธิบดีทรัมป์หยามอย่างไม่เห็นแก่หน้าค่าชื่อ กลายเป็นไวรัลตามโซเชียลมีเดียต่างๆ อย่างรวดเร็ว ในภาพนี้ที่เดลิเมลออนไลน์นำเสนอประกอบข่าว ปรากฏบนแอคเคาท์ของสื่อค่าย Nexta โดยมีช็อตต่างๆ ครบถ้วน ตั้งแต่ตอนนี้เจรจรกับตำรวจ จดจนตอนที่สนทนาขอความช่วยเหลือจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

บรรยากาศในที่ประชุมซัมมิตยูเอ็นว่าด้วยการระดมความสนับสนุนการแก้ไขความขัดแย้งในตะวันออกกลางผ่าน “แนวทาง 2 รัฐ” นั่นคือให้จัดตั้งทั้งรัฐปาเลสไตน์กับรัฐอิสราเอลอยู่เคียงคู่กัน ซึ่งฝรั่งเศสกับซาอุดิอาระเบียเป็นเจ้าภาพร่วม ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก เมื่อจันทร์ที่ 22 กันยายน 2025 ในภาพนี้เป็นการเตรียมตัวขึ้นปราศรัย โดยรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของซาอุดิอาระเบีย เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาร์อัน อัล-ซาอุด (ที่สองจากซ้าย) และประธานาธิบดีมาครงแห่งฝรั่งเศส (ที่สองจากขวาในแถวนั่ง)

ประธานาธิบดีมาครงขึ้นปราศรัยต่อที่ประชุมซัมมิตยูเอ็นสนับสนุน “แนวทาง 2 รัฐ” หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือการระดมความสนับสนุนให้แก่รัฐปาเลสไตน์ โดยฝรั่งเศสกับซาอุดิอาระเบียเป็นเจ้าภาพร่วมของซัมมิตนี้ และมาครงยังได้ใช้โอกาสนี้ประกาศว่าฝรั่งเศสรับรองรัฐปาเลสไตน์  อันเป็นเรื่องที่ประธานาธิบดีทรัมป์มีท่าทีคัดค้านอย่างดุเดือด
ยิ่งกว่านั้น การถูกเล่นงานให้ต้องติดค้างคาถนน ยังดูจะเป็นเหตุการณ์ผีซ้ำด้ำพลอย เพราะแอมานุแอล มาครง เพิ่งเผชิญกับผลโพลใหม่เอี่ยมที่ระบุว่าตนเองเสื่อมความนิยมสาหัสที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา หลังมีการประกาศผลโพลใหม่สุดในวันจันทร์ที่ 22 กันยายนที่ฝรั่งเศส

กล่าวคือ คะแนนความนิยมซึ่งประธานาธิบดีมาครงได้รับนั้น ตกต่ำดำดิ่งที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยร่วงสู่ระดับแค่ 17% เท่านั้น น้อยที่สุดนับจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2017 (อันเป็นสมัยแรก และปัจจุบัน ครองตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง)

การทำโพลดังกล่าวโดย Ifop ซึ่งมีหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ Le Journal du Dimanche เป็นเจ้าภาพ มีขึ้นหลังเหตุการณ์ประท้วงใหญ่ทั่วฝรั่งเศส ผู้ใช้แรงงานเกือบ 1,000,000 ชีวิตพากันลงถนน เดินประท้วงประธานาธิบดีว่าบริหารประเทศผิดพลาด ไม่สามารถรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจได้ เดลิเมลออนไลน์ระบุอย่างนั้น

ในท่ามกลางความรุนแรงและสถานการณ์โกลาหล มีการปะทะกันดุเดือดระหว่างฝ่ายตำรวจกับฝ่ายผู้ก่อการจลาจล มีการจุดไฟเผาลุกโพลงควันโขมง ขณะเดียวกันก็มีควันจากแก๊สน้ำตาคละคลุ้ง

เดลิเมลออนไลน์นำเสนอด้วยว่า บรรดานักเรียนและนักศึกษาสวมหน้ากากยกโขยงกันแห่ป้าย เรียกร้องให้ “ขึ้นภาษีคนรวย” ขณะเผชิญหน้ากับสารพันตำรวจสวมเสื้อเกราะ อันเป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงใหญ่ซึ่งร้อนแรงขั้นสุดในกรุงปารีส

แก๊สน้ำตาจากตำรวจปราบจลาจลในเมืองน็องต์ส ทางภูมิภาคฝั่งตะวันตกของฝรั่งเศส คละคลุ้งไปทั่วกลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาลเมื่อ 18 กันยายน 2025 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเดินขบวนทั่วประเทศโดยมีบรรดาสหภาพแรงงานเป็นแม่งาน

ผู้ใช้แรงงานราว 800,000 รายทั่วฝรั่งเศสพากันลงถนน เดินขบวนต่อต้านคัดค้านนโยบายของรัฐบาล เอเอฟพีรายงานว่าความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างสหภาพแรงงานต่างๆ ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น จุดชนวนให้เกิดการประท้วงครั้งดุเดือด และเมื่อมีการทำโพลเมื่อ 21 กันยายน 2025 พบว่าความนิยมที่ประธานาธิบดีมาครงได้รับจากสาธารณชน เสื่อมลงอย่างฮวบฮาบสู่ระดับเพียง 17% เท่านั้น
ผู้คนในฝรั่งเศสเกือบล้านรายพร้อมใจกันสไตรก์ผละงานครั้งประวัติศาสตร์เมื่อพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน 2025 เพราะแค้นเคืองกฎหมายงบประมาณตัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของประชาชน ตลอดจนมาตรการด้านค่าแรงและเงินเกษียณอายุ รวมไปถึงบริการสาธารณะต่างๆ ของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสคนใหม่ คือ เซบัสเตียง เลอกอร์นู และมีการปะทะกับตำรวจในกรุงปารีส ลียง และน็องต์ส

ใช่แต่เท่านั้น เภสัชกรฝรั่งเศสก็เป็นอีกหนึ่งปีกใหญ่ที่ลงถนนเข้าร่วมเดินขบวน และปิดบริการร้านขายยาทั่วประเทศเกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ คัดค้านและลงโทษนโยบายราคายาของรัฐบาล

ด้านสหภาพแรงงานทั้งปวงเดินหน้าเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านงานบริการสาธารณะ รวมทั้งให้ขึ้นภาษีเอากับคนร่ำรวยมีอันจะกินล้นหลาม

ปัญหาอันมากมายและเรื้อรังทำให้ฝรั่งเศสเผชิญกับวิกฤติหนี้สาธารณะที่นับวันแต่จะขยายทวีขึ้น ตลอดจนวิกฤติพลังงาน และอัตราดอกเบี้ยพุ่งสูง

การขาดดุลงบประมาณที่ฝรั่งเศสแบกรับอยู่นั้น ในปีที่ผ่านมา ถึงกับทะยานขึ้นแตะระดับ 5.8% ของจีดีพี ฝ่าเพดานที่อียูกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 3% และเป็นการขาดดุลที่มหาศาลที่สุดนับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กันเลยทีเดียว เดลิเมลออนไลน์รายงาน

คอลัมน์ PLANET No.3

โดย รัศมี มีเรื่องเล่า


(ที่มา: เดลิเมลออนไลน์ ฟรานซ์24)

กำลังโหลดความคิดเห็น