เกาหลีเหนือยกระดับควบคุมประชาชนเพิ่มมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในนั้นรวมถึงประหารชีวิตผู้คน ในโทษฐานทำกิจกรรมต่างๆนานา อย่างเช่นแชร์ละครทีวีของต่างประเทศ ตามรายงานของสหประชาชาติที่เผยแพร่เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำนักงานด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในวันศุกร์(12ก.ค.) ระบุว่าปราบปรามทางเทคโนโลยีภายใต้ตระกูลคิม ซึ่งปกครองเกาหลีเหนือด้วยดำนาจเด็ดขาดมานานกว่า 7 ทศวรรษ ได้ถูกระดับขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
"ไม่มีประชากรที่ไหนที่ถูกภายใต้ข้อจำกัดต่างๆนานาเช่นนี้อีกแล้ว ในโลกใบนี้" รายงานระบุ อ้างอิงการสอบถามสักขีพยานและเหยื่อมากกวา 300 รายที่หลบหนีออกจากเกาหลีเหนือ และบอกเล่าเรื่องราวสิทธิเสรีภาพที่ถูกกัดกร่อนมากขึ้นเรื่อยๆ "เพื่อปิดหูปิดตาประชาชน พวกเขายกระดับการปราบปราม มันเป็นรูปแบบของการควบคุมที่มีเป้าหมายจำกัดแม้กระทั่งสัญญาณความไม่พอใจหรือเสียงบ่นเล็กๆน้อย"
เจมส์ ฮีแนน หัวหน้าสำนักงานสิทธิมนุษยชนเกาหลีเหนือของสหประชาชาติ บรรยายสรุปกับที่ประชุมในเจนีวา ว่าจำนวนผู้ถูกประหาร สำหรับทั้งอาชญากรรมทั่วไปและอาชญากรรมทางการเมือง เพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ยุคโควิด-19 ซึ่งมีการกำหนดข้อจำกัดต่างๆนานาอย่างเข้มข้น
เขากล่าวว่ามีคนจำนวนหนึ่งถูกประหารชีวิตไปแล้วภายใต้กฎหมายใหม่ ที่กำหนดบทลงโทษประหารชีวิตสำหรับการกระจายซีรีย์ทางทีวีของต่างชาติ ในนั้นรวมถึงละครดราม่ายอดนิยมจากเกาหลีใต้
ยุทธการปราบปรามดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากการขยายระบบ "เฝ้าระวังมวลชน" ผ่านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งถูกใช้ควบคุมทุกวิถีชีวิตของพลเมืองตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ ฮีแนน บอกต่อว่ามีรายงานเด็กๆถูกใช้ในแรงงานบังคับเช่นกัน ในนั้นรวมถึงสิ่งที่เรียกว่า "หน่วยเฉพาะกิจ" สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่หนักๆ อย่างเช่นเหมืองแร่และก่อสร้าง
"บ่อยครั้งที่พวกเขาใช้เด็กๆจากระดับล่างๆของสังคม เพราะเด็กๆกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ไม่สามารถเสนอสินบนให้หลุดพ้น และบ่อยครั้งที่หน่วยเฉพาะกิจนี้ต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับหน้าที่การงานที่เสี่ยงภัยและอันตรายมากๆ" ฮีแนน กล่าว
เมื่อปีที่แล้ว สหประชาชาติชี้ว่าแรงงานบังคับ ในบางกรณี เทียบเท่ากับการบังคับทาส และเป็นการก่ออาชญากรรมกับมนุษยชาติ
รายงานฉบับทบทวนอย่างกว้างขวางนี้มีขึ้นราว 1 ทศวรรษ หลังจากสหประชาชาติเผยแพร่รายงานฉบับประวัติศาสตร์ฉบับหนึ่ง ให้หลักฐานเกี่ยวกับการประหารชีวิต ข่มขืน ทรมาน จงใจทำให้อดอยากและกักขังประชาชนราว 80,000 คน ถึง 120,000 คน ตามค่ายกักกันต่างๆ
ในรายงานฉบับใหม่นี้ ที่ครอบคลุมถึงพัฒนาการต่างๆนับตั้งแต่ปี 2014 เน้นว่าเกาหลีเหนือได้บังคับใช้กฎหมายใหม่ๆ นโยบายใหม่ๆและกระบวนการต่างๆ ที่มอบกรอบทางกฎหมายสำหรับการปราบปรามประชาชน
โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ระบุในถ้อยแถลงว่า "ถ้าเกาหลีเหนือยังคงอยู่บนเส้นทางนี้ต่อไป ประชาชนจะอยู่ภายใต้ความทุกข์มรมานกว่าเดิม ถูกปราบปรามอย่างโหดเหี้ยม และอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น"
(ที่มา:อัลจาซีราห์)