xs
xsm
sm
md
lg

‘มาร์กอส’ของฟิลิปปินส์ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือเลย ในการเจรจาแบบเจอหน้ากันกับ‘ทรัมป์’ที่ทำเนียบขาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เจสัน กูเตียร์เรซ


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ต้อนรับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ที่เดินทางมาถึงทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันอังคาร (22 ก.ค.) ก่อนเริ่มต้นการเจรจาหารือกัน
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/07/marcos-leaves-empty-handed-in-face-to-face-with-trump/)

Marcos leaves empty-handed in face-to-face with Trump
by Jason Gutierrez
23/07/2025

ความพยายามของประธานาธิบดีมาร์กอสแห่งฟิลิปปินส์ ในการขอให้สหรัฐฯบรรเทาอัตราภาษีศุลกากรลงมาประสบความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า โดยที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ยอมลดให้แบบพอเป็นพิธีเพียงแค่ 1% เท่านั้น ทั้งๆ ที่แดนตากาล็อกมีความผูกพันทางด้านความมั่นคงอย่างเหนียวแน่นกับอเมริกา และเข้าแถวร่วมเป็นพันธมิตรอย่างแข็งแรงของสหรัฐฯในการต่อต้านจีน

มะนิลา - ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ เพิ่งพบปะหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันอังคาร (22 ก.ค.) ที่ผ่านมา ปรากฏว่าเขาได้คำมั่นสัญญาในเรื่องปราการทางการทหารอเมริกันจะให้ความสนับสนุนแก่การต่อต้านจีนในการพิพาทที่ดำรงอยู่มายาวนาน ทว่าเขาประสบความล้มเหลวในการขอร้องให้สหรัฐฯลดอัตราภาษีศุลกากรใหม่ลงมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

ก่อนจะเข้าสู่การหารือแบบหนึ่งต่อหนึ่งของพวกเขาที่ทำเนียบขาว ผู้นำทั้งของฟิลิปปินส์และของสหรัฐฯ ต่างกล่าวย้ำอีกครั้งถึง “ความสัมพันธ์อันดี” ระหว่างทั้งสองประเทศ, มีการเน้นถึงสนธิสัญญาร่วมป้องกันที่แดนตากาล็อกกับแดนลุงแซมได้ทำกันไว้มานมนานแล้ว โดยมีเนื้อหาผูกพันทั้งสองชาติให้เข้าช่วยเหลือกันและกันในเวลาที่ถูกต่างชาติรุกรานก้าวร้าวใส่

“เรากำลังจะพูดจากันเกี่ยวกับเรื่องการค้ากันในวันนี้ และเราใกล้มากๆ ทีเดียวที่จะตกลงทำดีลการค้ากันได้ เป็นดีลการค้าฉบับใหญ่ฉบับหนึ่งจริงๆ” ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวก่อนเริ่มต้นการพบปะหารือระหว่างเขากับมาร์กอสในวันอังคาร (ตามเวลาสหรัฐฯ) ทั้งนี้ตามบันทึกถอดความเสียงสนทนาซึ่งนำออกเผยแพร่กันที่กรุงมะนิลา

อย่างไรก็ดี ภายหลังการหารือ ทรัมป์ประกาศผ่านทางสื่อสังคม ทรูธโซเชียล (Truth Social) ของเขาว่า ฟิลิปปินส์ได้รับการผ่อนผันเปลี่ยนแปลงเพียงนิดเดียว ในอัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญของแดนตากาล็อก วางแผนว่าจะเริ่มจัดเก็บจากพวกเขาในเร็วๆ นี้

“เราบรรลุข้อตกลงการค้าของเราแล้วโดยที่ฟิลิปปินส์กำลังจะ เ ปิ ด ต ล า ด ให้แก่สหรัฐฯ และเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 0% ส่วนฟิลิปปินส์จะจ่ายภาษีศุลกากรในอัตรา 19%” ทรัมป์เขียนเอาไว้เช่นนี้ นี่เท่ากับว่าต่ำลงมาเพียงแค่ 1% เท่านั้นจากที่เขาข่มขู่เอาไว้ก่อนหน้านี้ และยังจะต้องเฝ้าติดตามกันต่อไปว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อฟิลิปปินส์ ซึ่งมีบริษัทอเมริกันจำนวนมากใช้เป็นแหล่งที่มาในการผลิตสินค้าของพวกเขาอยู่ด้วย
(หมายเหตุผู้แปล – เมื่อวันที่ 2 เมษายน ซึ่งทรัมป์เรียกว่าเป็น “วันปลดแอก” และประกาศ “อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้” จากพวกชาติคู่ค้าหลายสิบรายนั้น สำหรับฟิลิปปินส์ จะถูกเก็บในอัตรา 17% อย่างไรก็ตาม ในจดหมายที่เขาแจ้งให้ฟิลิปปินส์ทราบตอนต้นเดือนกรกฎาคมนี้ มะนิลาได้ถูกขยับขึ้นภาษีดังกล่าวนี้เป็น 20% ดังนั้น การลดเหลือ 19% คราวนี้ จึงยังสูงกว่าอัตราใน “วันปลดแอก” ด้วยซ้ำ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-07-22/trump-says-very-close-to-philippine-trade-deal-on-marcos-visit)

ประเทศทั้งสองทำ “ธุรกิจเยอะแยะ” กับอีกฝ่ายหนึ่ง ทรัมป์กล่าว พร้อมกับบอกด้วยว่าเขารู้สึกเซอร์ไพรซ์ที่ได้เห็นสิ่งที่เขาเรียกว่า “ตัวเลขใหญ่มากๆ” ซึ่งเขาคุยว่าจะมีแต่จะเติบโตยิ่งขึ้นไปอีกจากข้อตกลงทางการค้า” ที่ทำกันคราวนี้ [1]

มาร์กอสเป็นผู้นำจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายแรกที่ได้พบหารือกับทรัมป์ในช่วงวาระสองของการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯของเขา ทั้งนี้เขาได้ทำดีลการค้ากับอีก 2 ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งได้แก่อินโดนีเซีย และ เวียดนาม ทว่าจวบจนถึงตอนนี้ก็ยังคงยึดมั่นความคิดของเขาในการเจรจาต่อรองทางการค้าอย่างโหดๆ เพื่อเดินหน้าผลักดันสิ่งที่เขาอ้างอิงเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าเป็น “วันปลดแอก” (Liberation Day) สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ทรัมป์ กล่าวชื่นชมคุณสมบัติของมาร์กอสว่า เป็น “นักเจรจาที่แข็งแกร่ง” แต่ได้บอกกับพวกผู้สื่อข่าวก่อนหน้าการพบปะหารือว่า ตัวเขามองโลกแง่ดีว่าพวกเขา “บางทีจะสามารถตกลงในอะไรบางอย่างได้”

สำหรับมาร์กอส ก่อนหน้าเดินทางออกจากมะนิลาในวันอาทิตย์ (20 ก.ค.) ได้แถลงว่า การเยือนวอชิงตันเที่ยวนี้ของเขา วางรากฐานอยู่บน “การติดต่อแลกเปลี่ยนกันอย่างกระตือรือร้น” ที่รัฐบาลของเขามีอยู่กับคณะบริหารใหม่ของทรัมป์ชุดนี้ เขากล่าวอีกว่าการพบปะกับทรัมป์ “โดยสาระสำคัญแล้วคือการต่อเนื่องเพื่อเดินหน้าผลประโยชน์แห่งชาติของเรา และเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่ความเป็นพันธมิตรของเรา”

“เรื่องที่ผมถือว่ามีลำดับความสำคัญสูงที่สุดสำหรับการเยือนครั้งนี้คือ การผลักดันให้มีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกันอย่างใหญ่หลวงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการค้าและการลงทุนระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐฯ” มาร์กอส ได้พูดเอาไว้เช่นนี้ พร้อมกับระบุว่าเขาตั้งใจที่จะไปบอกกับวอชิงตันว่า ฟิลิปปินส์เตรียมพร้อมแล้วที่จะเจรจาทำดีลการค้า “ซึ่งจะรับประกันให้เกิดการร่วมมือประสานงานกันอย่างแข็งแรง, เป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย, และมุ่งไปยังอนาคต ซึ่งมีแต่สหรัฐฯกับฟิลิปปินส์เท่านั้นที่จะสามารถฉวยคว้าผลประโยชน์จากการนี้ได้”

“และเราจะติดตามดูกันว่าเราสามารถสร้างความก้าวหน้าไปแค่ไหนแล้ว เมื่อมาถึงการเจรจากับสหรัฐฯในเรื่องเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เราปรารถนาจะทำให้กลายเป็นระดับสถาบันขึ้นมา เพื่อที่จะได้สามารถบรรเทาผลต่างๆ ของภาษีศุลกากรหนักสาหัสมากๆ ที่กำหนดจะใช้กับฟิลิปปินส์” เขากล่าว

ฟิลิปปินส์นั้น ยังเป็นประเทศที่ยืนหยัดเผชิญกับจีนอย่างสม่ำเสมอเรื่อยมาในเรื่องทะเลจีนใต้ ซึ่งสองฝ่ายพิพาทกันอยู่ และในการหารือกับรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีต เฮกเซธ ก่อนหน้าการเจรจาหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างเขากับทรัมป์ มาร์กอสได้ย้ำยืนยันอีกครั้งถึงพันธะผูกพันที่เขามีอยู่กับสนธิสัญญาร่วมป้องกันระหว่างประเทศทั้งสอง

“ผมเชื่อว่าความเป็นพันธมิตรของเรา ระหว่างสหรัฐฯกับฟิลิปปินส์ ได้มีส่วนอย่างสำคัญมากในแง่ของการสงวนรักษาสันติภาพ, ในแง่ของการสงวนรักษาเสถียรภาพในทะเลจีนใต้ ยิ่งกว่านั้นผมกระทั่งยังจะขอไปไกลกว่านั้นอีก โดยขอพูดว่า ในตลอดทั่วทั้งภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกอีกด้วย” มาร์กอสกล่าว

ทว่าผู้นำฟิลิปปินส์ก็เน้นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการหารือระดับทวิภาคีอย่างต่อเนื่อง “ท่ามกลางพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังมีการปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว” ถึงแม้เขาให้คำมั่นที่จะยังคงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในเรื่องให้ฝ่ายอเมริกันสามารถเข้าถึงฐานทัพต่างๆ ของฟิลิปปินส์ และการดำเนินการซ้อมรบระดับทวิภาคีร่วมกัน

“เรื่องเหล่านี้คือส่วนสำคัญมากๆ ของความสัมพันธ์ดังกล่าว และขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า มันเป็นการตอบสนองอย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อพิจารณาถึงความท้าทายต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ในฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางพลังต่างๆ ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง และพัฒนาการต่างๆ ทางการเมืองรอบๆ ภาคส่วนของเราของโลกใบนี้” เขากล่าว

เขาบอกกับ เฮกเซธ ว่า ประเทศทั้งสอง “ต้องมีการหารือกันอย่างต่อเนื่อง” ในประเด็นปัญหาด้านกลาโหม ซึ่งกลายเป็นเรื่องสำคัญลำดับสูงสุดของคณะบริหารของเขา หลังจากที่ โรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนก่อนหน้าเขา ได้แสดงตัวอย่างเปิดเผยว่าอยู่ข้างจีนมากกว่าอยู่ข้างสหรัฐฯ

ตามคำแถลงของสำนักงานของเขา มาร์กอสได้รับเกียรติ “ตรวจแถวกองเกียรติยศขณะเดินทางมาถึง” กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพิธีการต้อนรับที่สหรัฐฯจัดขึ้นเฉพาะสำหรับแขกมีผู้เกียรติและผู้นำทางทหารชาวต่างประเทศระดับสูงเท่านั้น

คำแถลงยังบอกอีกว่า ประเพณีทางทหารอันมีชื่อเสียงนี้ ซึ่งมีทั้งการใช้บุคลากรและพิธีการต่างๆ มากขึ้นกว่าการต้อนรับปกติ เป็นการสะท้อนถึงความเข้มแข็งของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างชาติพันธมิตรทั้งสอง

เจสัน กูเตียร์เรซ เป็นหัวหน้าข่าวฟิลิปปินส์ อยู่ที่ เบนาร์นิวส์ (BenarNews) สำนักข่าวออนไลน์ในเครือของวิทยุเอเชียเสรี (Radio Free Asia หรือ RFA) องค์การข่าวซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงวอชิงตันที่ติดตามเสนอข่าวของประเทศจำนวนมากในภูมิภาคแถบนี้ที่ไม่ค่อยได้รับการรายงานกัน เขาเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่มีประสบการณ์ยาวนาน รวมทั้งเคยทำงานกับนิวยอร์กไทมส์ และสำนักข่าวเอเอฟพี

ประธานาธิบดีทรัมป์ กับประธานาธิบดีมาร์กอส ขณะพูดคุยกันในช่วงที่เปิดให้พวกผู้สื่อข่าวเข้าฟัง ณ ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน วันอังคารที่ 22 ก.ค.
หมายเหตุผู้แปล

[1] เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมของการตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์ในครั้งนี้ รวมทั้งปฏิกิริยาของภาคธุรกิจในแดนตากาล็อก สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้เสนอรายงานข่าวพูดถึงเรื่องนี้ ดังนี้:

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงในวันอังคาร (23 ก.ค.) ว่าสามารถบรรลุข้อตกลงกับฟิลิปปินส์ โดยที่สหรัฐฯจะจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น 19% จากสินค้าออกของชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายนี้ ทางด้านพวกธุรกิจฟิลิปปินส์ระบุว่า ดีลนี้อาจผลักดันให้พวกเขาต้องหันไปหาตลาดแห่งอื่นๆ

“เราบรรลุข้อตกลงการค้าของเราแล้วโดยที่ฟิลิปปินส์กำลังจะ เ ปิ ด ต ล า ด ให้แก่สหรัฐฯ และเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 0% ส่วนฟิลิปปินส์จะจ่ายภาษีศุลกากรในอัตรา 19% นอกจากนั้นเราจะทำงานร่วมกันในด้านการทหาร” ทรัมป์เขียนเอาไว้เช่นนี้ทางแพลตฟอร์มสื่อสังคม

ทรัมป์ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำความตกลงกันทางการค้าครั้งนี้ แต่ในเวลาต่อมา มาร์กอส บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า อัตราภาษีศุลกากร 0% ที่จะคิดจากพวกสินค้าสหรัฐฯนั้น จะใช้กับผลิตภณฑ์บางอย่างเท่านั้น เป็นต้นว่ารถยนต์

“เราพยายามอย่างหนักมากเพื่อดูว่าเราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง” มาร์กอส บอก “หนึ่งเปอร์เซนต์อาจจะดูเป็นการผ่อนปรันให้ที่เล็กน้อยเอามากๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณนำเอาเรื่องนี้ใส่เข้าไปใน –ในเงื่อนไขที่เป็นจริง มันก็ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญ”

ฟิลิปปินส์ยังจะเพิ่มการนำเข้าพวกผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือและข้าวสาลี ตลอดจนผลิตภัณฑ์ยาจากสหรัฐฯ มาร์กอสกล่าว “ยังคงมีรายละเอียดอีกมากมายที่จำเป็นต้องจัดทำกันออกมาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ หลายหลาก” เขากล่าวต่อ

ภายหลังจากทราบว่าสหรัฐฯลดภาษีศุลกากรให้นิดเดียว ทางด้านสมาคมผู้ซื้อสินค้าจากต่างประเทศแห่งฟิลิปปินส์ (Foreign Buyers Association of the Philippines) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของพวกผู้ส่งออกและนำเข้า ระบุว่า มีแผนการเน้นหนักไปที่ตลาดอื่นๆ ของพวกเขาให้มากขึ้น อย่างเช่น แคนาดา, ออสเตรเลีย, ตะวันออกกลาง, และยุโรป

“เรื่องความสามารถในการแข่งขันเป็นอันว่าตัดทิ้งไปได้เลย เราจะยังคงติดต่อค้าขายกับอเมริกา บางทีอาจจะบนพื้นฐานของการร่วมกันแบ่งปันรับผิดชอบเรื่องต้นทุนเรื่องภาษีศุลกากร (ที่เพิ่มสูงขึ้น)” โรเบิร์ต ยัง (Robert Young) นายกสมาคมกล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เมื่อวันพุธ (23 ก.ค.) “อเมริกากำลังดูจะเป็นสถานที่ซึ่งปีนขึ้นไปยากมาก ตราบเท่าที่คณะบริหารทรัมป์ยังอยู่ที่นั่น แต่ทางพวกผู้ซื้อจากต่างประเทศนะไม่มีการยกธงขาวหรอกนะ”

(ดูเพิ่มเติมได้ที่ Marcos Meeting With Trump Yields 19% Tariff for Philippines https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-07-22/trump-says-very-close-to-philippine-trade-deal-on-marcos-visit)
กำลังโหลดความคิดเห็น