ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันอังคาร(22ก.ค.) ตอบตกลงลดคำขู่รีดภาษีฟิลิปปินส์ แต่เป็นการปรับลดเพียงแค่ 1% หลังจากเปิดทำเนียบขาวพบปะพูดคุยกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ที่เขาให้คำจำกัดความว่าเป็นการประชุมที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ระหว่างให้การตอบรับ มาร์กอส ที่เดินทางเยือนทำเนียบขาว ทรัมป์เรียกประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ว่าเป็น "นักเจรจาต่อรองที่แข็งกร้าว" และบอกว่า "เราใกล้มากๆแล้วที่จะปิดข้อตกลงการค้า ข้อตกลงการค้าใหญ่ อย่างแท้จริง"
ในข้อความที่โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ไม่นานหลังจากนั้น ทรัมป์เขียนว่า แม้ฟิลิปปินส์จะเปิดกว้างอ้าแขนรับสินค้าสหรัฐฯโดยสมบูรณ์ แต่เขาจะยังคงกำหนดเพดานภาษี 19% กับสินค้าต่างๆที่นำเข้าจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญในด้านสินค้าไฮเทคและเครื่องแต่งกาย
"มันเป็นการเดินทางมาเยือนที่สวยงาม และเราได้ข้อสรุปข้อตกลงการค้าของเรา ซึ่งฟิลิปปินส์กำลังเปิดตลาดให้แก่อเมริกา ด้วยเพดานภาษีเป็นศูนย์" ทรัมป์เขียนบนทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง
ฟิลิปปิส์ เป็นหนึ่งในประเทศต่างๆหลายสิบชาติ ที่ได้รับหนังสือแจ้งเกี่ยวกับอัตราภาษีสินค้านำเข้าสู่สหรัฐฯจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในเดือนนี้ โดย ทรัมป์ เตือนว่าเขาจะรีดภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากฟิลิปปินส์ 20% และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม
แม้ได้รับการปรับลดเหลือ 19% แต่มันก็ยังคงเหนือกว่าระดับ 17% ที่ ทรัมป์ ขู่รีดภาษีฟิลิปปินส์ในเบื้องต้นเมื่อเดือนเมษายน ครั้งที่เขาขู่กำหนดเพดานภาษีระดับสูงกับทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกับมิตรหรือศัตรู
ความขัดแย้งทางการค้ามีขึ้นแม้ว่าสหรัฐฯและฟิลิปปินส์ อดีตอาณาคมของอเมริกา ยกระดับความสัมพันธ์ด้านกลาโหมใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ 2 พันธมิตรตามสนธิสัญญา กำลังมีความตึงเครียดขั้นสูงกับจีน
เมื่อปีที่แล้ว สหรัฐฯภายใต้ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนก่อนหน้าทรัมป์ ประจำการขีปนาวุธยิงจากภาคพื้นในฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกันวอชิงตันยังเล็งตั้งโรงงานผลิตกระสุนในประเทศแห่งนี้ แม้เคยต้องปิดฐานทัพเรือแห่งหนึ่งที่อ่าวซูบิกในปี 1992 สืบเนื่องจากถูกสาธารณชนกดดันอย่างหนัก
"ทั้งหมดทั้งมวลที่เราพิจารณาในส่วนของการปรับปรุงกองทัพฟิลิปปินส์ให้มีความทันสมัย เป็นการตอบสนองต่อกรณีแวดล้อมรอบๆสถานการณ์ในทะเลจีนใต้" มาร์กอส กล่าวระหว่างแถลงข่าวร่วมกับทรัมป์ "เราจำเป็นต้องให้ความใส่ใจอย่างยิ่งกับการป้องกันดินแดนของเรา และใช้สิทธิอธิปไตยของเรา เราเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุด ใกล้ชิดที่สุด และน่าเชื่อถือที่สุดของสหรัฐฯเสมอมา"
(ที่มา:เอเอฟพี)