ประธานเครือซีพีหนุนนายกรัฐมนตรีเป็นคนมีความสามารถและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยได้อย่างเห็นผล เรียกร้องแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับผลงานและเรื่องส่วนรวม เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ขณะที่ “บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” เชื่อหากพ้น 1 ปีไปได้โดยไม่เกิดเหตุรุนแรง เศรษฐกิจไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้น
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ซึ่งเข้าร่วมประชุมกับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงความตั้งใจเพื่อจะนำพาเศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้าด้วยความเข้มแข็ง โดยเฉพาะการพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งต้องตั้งเป็นวาระแห่งชาติ ไม่เช่นนั้นในระยะยาวไทยจะแข่งขันลำบาก ซึ่งส่วนตัวเห็นว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนมีวิสัยทัศน์เก่งด้านเศรษฐกิจมากคนหนึ่งในระดับโลก ต่างประเทศเชื่อมั่นและชมว่านายกรัฐมนตรีของไทยมีความสามารถ แต่อาจจะไม่เก่งด้านการเมือง ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทุกฝ่ายปรับความเข้าใจกันเพื่อไม่ให้เกิดภาวะชะงักงัน เนื่องจากความเป็นกลางทางการเมืองจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจแน่นอน
“อยากให้มีการแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับการทำงานเพื่อประเทศชาติ อยากให้ทุกคนถามตัวเองว่าเราเลือกนายกรัฐมนตรีมาบริหารประเทศใช่หรือไม่ ซึ่งจากการติดตามการทำงาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าตนเห็นว่าได้มีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างได้ผล แต่ขณะนี้ไม่ได้มองแยกระหว่างเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม ทำให้เกิดความไม่เข้าใจหลายอย่าง ซึ่งสิ่งนี้ตนเป็นห่วงว่าจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไม่ราบรื่น” นายธนินทร์ กล่าว
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่ในฐานะที่เป็นพ่อค้าทำมาค้าขายนาน เห็นว่าการแก้ปัญหาของรัฐบาลมาถูกทางทุกอย่าง เพียงแต่บางอย่างอาจจะไม่ทันใจ และตนเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีผลกระทบและไม่เกิดผลดีต่อประเทศ รวมถึงความเชื่อมั่น ถ้าผ่านไปอีกประมาณ 1 ปี โดยไม่มีเหตุการณ์ทำให้เกิดความชะงัก เศรษฐกิจไทยจะขึ้นสู่ระดับมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ที่พูดไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการตามระบอบประชาธิปไตย เพียงทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวที่อยากจะเห็นเศรษฐกิจไทยเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ซึ่งเข้าร่วมประชุมกับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงความตั้งใจเพื่อจะนำพาเศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้าด้วยความเข้มแข็ง โดยเฉพาะการพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งต้องตั้งเป็นวาระแห่งชาติ ไม่เช่นนั้นในระยะยาวไทยจะแข่งขันลำบาก ซึ่งส่วนตัวเห็นว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนมีวิสัยทัศน์เก่งด้านเศรษฐกิจมากคนหนึ่งในระดับโลก ต่างประเทศเชื่อมั่นและชมว่านายกรัฐมนตรีของไทยมีความสามารถ แต่อาจจะไม่เก่งด้านการเมือง ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทุกฝ่ายปรับความเข้าใจกันเพื่อไม่ให้เกิดภาวะชะงักงัน เนื่องจากความเป็นกลางทางการเมืองจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจแน่นอน
“อยากให้มีการแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับการทำงานเพื่อประเทศชาติ อยากให้ทุกคนถามตัวเองว่าเราเลือกนายกรัฐมนตรีมาบริหารประเทศใช่หรือไม่ ซึ่งจากการติดตามการทำงาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าตนเห็นว่าได้มีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างได้ผล แต่ขณะนี้ไม่ได้มองแยกระหว่างเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม ทำให้เกิดความไม่เข้าใจหลายอย่าง ซึ่งสิ่งนี้ตนเป็นห่วงว่าจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไม่ราบรื่น” นายธนินทร์ กล่าว
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่ในฐานะที่เป็นพ่อค้าทำมาค้าขายนาน เห็นว่าการแก้ปัญหาของรัฐบาลมาถูกทางทุกอย่าง เพียงแต่บางอย่างอาจจะไม่ทันใจ และตนเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีผลกระทบและไม่เกิดผลดีต่อประเทศ รวมถึงความเชื่อมั่น ถ้าผ่านไปอีกประมาณ 1 ปี โดยไม่มีเหตุการณ์ทำให้เกิดความชะงัก เศรษฐกิจไทยจะขึ้นสู่ระดับมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ที่พูดไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการตามระบอบประชาธิปไตย เพียงทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวที่อยากจะเห็นเศรษฐกิจไทยเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง